ตกเป็นกระแสถูกพูดถึงกับการตัดสินของกรรมการที่ไม่ถูกใจแฟน ๆ สำหรับ “Last Idol Thailand” รายการแข่งขันไอดอล Survival ที่มีไปแล้ว 9 EP โดยกติกาและหลักเกณฑ์ในการตัดสินจะให้สิทธิ์ขาดกรรมการเพียงคนเดียวชี้ชะตาความฝันของเหล่าเด็กสาว ว่าใครจะรอดหรือร่วง! ซึ่ง EP ล่าสุดถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงมาก เนื่องจากกรรมการเลือกที่ความเหมาะสม ไม่ได้เลือกที่ผลงานการแสดง ทำให้คนที่ผู้ชมมองว่าแสดงดีกว่าตกรอบไปหน้าตาเฉย

รูปแบบการตัดสินของ Last Idol Thailand หลังจากเฟ้นหาเด็กสาวที่มีออร่า ไม่จำเป็นต้องร้องเก่ง เต้นดี แต่ต้องมีเสน่ห์บางอย่าง มาเป็นสมาชิกชั่วคราว 7 คน และให้ผู้ท้าชิงเลือกว่าต้องการแข่งกับสมาชิกชั่วคราวคนไหน เมื่อโชว์ของทั้งสองคนจบลง ทางรายการจะเลือกกรรมการหนึ่งคนจากทั้งหมด 4 คน เป็นผู้ตัดสินชะตาของ 2 สาว วิธีเลือกคือประกาศหมายเลขที่กำหนดเอาไว้ กรรมการคนไหนจับได้หมายเลขดังกล่าว ก็ต้องเป็นคนตัดสิน ด้วยวิธีตัดสินแบบนี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ค้านสายตาหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่รายการต้นแบบที่ญี่ปุ่นเอง จนถึงที่ไทย

และวันนี้เราได้ไปพูดคุยกับเหล่ากรรมการที่มาตัดสินในรายการ Last Idol Thailand ถึงความรู้สึกที่ต้องเป็นผู้ชี้ชะตาความฝันของเหล่าสาว ๆ ทั้งหลาย รวมถึงดราม่าการตัดสินที่ชาวเน็ตวิจารณ์กันยับ เราจะได้ทราบเหตุผลของกรรมการในการเลือกผู้ชนะ ว่าเลือกจากอะไรกันบ้าง?

เริ่มต้นกันที่ หนึ่ง ETC กล่าวว่า “การเป็นกรรมการรายการนี้ก็ไม่ได้สนุกนะ เครียด กดดัน แต่ก็อยากมาอีก เพราะในความเครียดความกดดัน มันมีเสน่ห์บางอย่างของรายการที่รู้สึกว่าไม่เหมือนการประกวดที่ไหน ทำให้เราได้เห็นคนหลาย ๆ แบบ และได้ลองวิเคราะห์คนที่แตกต่างกันไป ในช่วงเวลาที่น้อง ๆ ร้องเพลงให้เราฟัง พยายามรับสารที่เขาต้องการส่งมาถึงเราให้มากที่สุด เพราะเราต้องใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เพราะว่าบางคนอาจร้องเพี้ยนทั้งเพลง แต่ทัศนคติดี คาริสม่าได้ คุณสมบัติของไอดอลที่จะมัดใจผมได้ ต้องมีความเป็นธรรมชาติ มีพลังงานบวกในตัว คนเหล่านี้เวลาเจอสถานการณ์ที่บีบคั้น จะทำให้เรารู้เลยว่าเขามีทัศนคติที่ดีอย่างไรในสถานการณ์ที่กดดัน รายการนี้ไม่ได้มองหาคนที่เก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่เรามองหาคนที่พร้อมจะพัฒนาต่อครับ”

ด้าน แทน ลิปตา เผยว่า “สำหรับคนที่จะเป็นไอดอลได้ ผมมองหาสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า X Factor เป็นปัจจัยที่บางครั้งเราไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ มันคือประกายหรือเสน่ห์ในตัวน้อง ๆ รายการนี้ไม่ใช่รายการประกวดการเต้นหรือร้องเพลง ที่เราจะมาจับผิดเสียงร้องน้องว่าเพี้ยนตรงไหนไหม แต่มันมากกว่าการร้องเพลงดีหรือเต้นเก่ง มันคือการทำให้คนอื่นรักเรา เรามอบความสุขให้เขามากแค่ไหน สำหรับผมชอบคนที่ทัศนคติดี ซึ่งผมมักจะเห็นในไอดอลที่เก่ง ๆ ได้รับความนิยมสูง ๆ ครับ กับหน้าที่กรรมการในรายการนี้ ผมต้องพยายามมีสติกับตัวเอง ระมัดระวังคำพูด ต้องใช้ประสบการณ์และ feeling เพื่อดูว่าใครควรจะได้ไปต่อ รายการนี้โหดมาก ถ้าสติไม่อยู่กับตัว มีโอกาสที่จะเป็นประเด็นดราม่าได้ครับ”

ส่วน หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ กล่าวว่า “ก่อนมาอัดรายการคิดว่าน่าจะเป็นรายการไอดอลน่ารักสนุกสนาน ไม่คิดว่าทุกอย่างจะเข้มข้นดุเดือดแบบนี้ รายการนี้ไม่ใช่ว่าคุณร้องเก่งเต้นเก่งแล้วคุณจะได้ตำแหน่งนั้น แต่มันคืออะไรบางอย่างที่เรารู้สึกแล้วมันมากระแทกใจเรา จริง ๆ หนูนาก็เคยผ่านการเป็นกรรมการต่าง ๆ มาบ้าง แต่รายการนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ยากและกดดันมาก ด้วยความที่ทั้งหมดมันคือความใฝ่ฝันของพวกเขา น้อง ๆ อาจจะเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน แต่เราต้องเป็นคนที่ตัดสินชี้ชะตาของเขา ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะไม่ได้ถูกต้องไปซะทั้งหมด เราไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือทำผิด แต่เราคือคนที่ต้องทำตรงนั้น เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบของเราตรงนี้มันหนักมากค่ะ”

ทาง ณัฐ วงเคลียร์ เผยว่า “จริง ๆ ตอนแรกก็ลังเล แต่ก็อยากลองมาสัมผัสอีกโลกหนึ่งที่ใกล้ตัว แต่เรายังไม่เคยได้ก้าวเข้าไป เกณฑ์การตัดสินจะเป็นเรื่องคาริสม่ามากกว่าการร้องและเต้นดี ผมเน้นไปตรงที่ใครที่ให้ความสุขเราได้มากกว่าเวลาที่เขาอยู่บนเวที บางคนร้องเพี้ยน แต่ทำไมน้องคนนั้นทำให้เราขนลุกได้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจริง ๆ มันต้องมาสัมผัสเอง ผมขอเรียกว่า เสน่ห์ แล้วกัน ถามว่าผมใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสิน มันไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งสิ้น มันมีรายละเอียดหลาย layer มากในการที่จะเลือกตัดสิน อย่างผมเองก็แทงสวนกับกรรมการหลายคนไป 2-3 รอบเหมือนกัน แต่พอเรามาคุยกัน เราก็จะรู้ว่ากรรมการแต่ละคนอาจมองคนละมุมกัน มีความชอบต่างกัน บางทีก็มีเรื่องดวงมาประกอบด้วย แต่สำหรับผมนอกจากจะมองหาน้อง ๆ ที่มอบความสุขให้ผู้ฟังได้แล้ว ผมยังมองหาความเป็นนักสู้ในตัวของพวกเขาครับ”

ฝั่ง โบ ไทรอั้มพ์ คิงดอม กล่าวว่า “รายการนี้เขาเน้นดูที่คาริสม่ากับคาแร็คเตอร์ว่าเขาชัดเจนมากแค่ไหนค่ะ สำหรับโบคิดว่าคนที่จะมาเป็นไอดอลต้องมีเซอร์วิสมายด์ ที่จะเติมตัวเองเต็มและมอบให้กับคนอื่น นอกจากนี้ต้องมีความเป็นนักสู้ มันมาด้วยการฟาดฟันกัน ไม่ว่าจะออกมาหน้าจอหรือหลังจอ มันมีกระบวนการที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถามว่าการเป็นกรรมการในรายการนี้เป็นยังไงบ้าง คือน้ำตาจะไหล กดดันมาก มันคือความฝันของเขา เหมือนเราไปทำลายความฝันของเขา โบเชื่อว่ามันยังไม่เป็นการเดบิวต์ เราให้โอกาสอีกคนด้วย เราพยายามทำเพื่อให้ ลาสต์ ไอดอล ดีขึ้นจริง ๆ ภาพรวมของวงเป็นสิ่งสำคัญ คุณสมบัติที่โบมองหาในตัวน้อง ๆ คือ ทัศนคติที่ดี ความมีเสน่ห์ มีออร่า อย่างโบเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน ไม่ได้เต้นเก่ง โบรู้ว่าเรื่องพวกนี้ฝึกกันได้ค่ะ”

ปิดท้ายกันที่ มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ เผยว่า “มดไม่เคยเป็นกรรมการตัดสินใด ๆ มาก่อน แต่พอเป็น ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์ มดเชื่อว่าเราสามารถเอาประสบการณ์ในการเป็นนักร้องของเรามาใช้ได้ เรารู้ว่าการที่จะแสดงให้คนรู้สึกสนุกไปกับเรา ต้องทำยังไง รายการนี้เป็นกลุ่มเด็กไอดอล มดรู้สึกว่าคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพื่อให้คนรู้สึกว่า ฉันชอบคนนี้เพราะคาแร็คเตอร์แบบนี้ มันจะยิ่งดึงคนได้มากกว่าเดิม แต่ด้วยกติกาการตัดสินของรายการนี้ไม่เหมือนรายการอื่น ๆ มดว่าอยู่ที่ดวงด้วย เพราะกรรมการไม่ได้ประชุมเพื่อหามติส่วนข้างมากเป็นหลัก รายการนี้เขาให้กรรมการคน ๆ เดียวตัดสิน แล้วตัวกรรมการก็ยังต้องจับลูกบอลนำโชคเลย รายการนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ มดว่าการจะเป็นไอดอลได้ นอกจากบุคลิกภาพจะต้องดี มีเสน่ห์ ก็มีเรื่องดวงด้วย มันเหมือนจังหวะชีวิตของคนว่า เขาจะได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ไหมค่ะ”

ในส่วนของการแข่งขันที่ผ่านไปแล้ว 13 แมตช์ มีทั้งคนที่สมหวังและผิดหวัง แต่ครั้งนี้เราขอพาทุกคนไปรับทราบความรู้สึกของคนที่ผิดหวังกันว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ความฝันของตัวเองต้องจบลง

อดีตสมาชิกชั่วคราวหมายเลข 3 “ขนมหวาน-ศุจินทรา โพธิ์สม” ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้ท้าชิงคนที่ 1 อย่าง “มีมี่-พิมพ์มาดา ตั้งสี” กล่าวว่า “ตอนนั้นคิดว่าโชว์ของหนูก็ดีนะคะ แต่ก็คิดว่าจริง ๆ เราสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ เพียงแต่ตอนนั้นมีความกดดันบางอย่าง พอถึงตอนที่ พี่ติ๊ก เพลย์กราวนด์ เป็นกรรมการตัดสินในวันนั้น เลือกให้พี่มีมี่มาแทนที่หนู หนูรู้สึกเสียเซลฟ์ที่ตกรอบคนแรก มันโหดร้ายกับหนูมาก แต่ถึงจะตกรอบไปแล้ว หนูก็จะสู้และหาโอกาสใหม่ ๆ ให้ตัวเองได้อยู่ในเส้นทางไอดอลค่ะ ก็อยากให้ติดตามและช่วยกันโหวตให้หนูต่อไปนะคะ”

ด้านผู้ท้าชิงคนที่ 2 “หยดน้ำ-ณฐินี บุญศิลป์” ที่เลือกท้าสมาชิกชั่วคราวหมายเลข 7 “ตาล-สุดารัตน์ วงษ์กล่ำ” แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาชนะตาลได้ เผยว่า “หยดน้ำมีความสุขที่ได้มีโอกาสร้องเพลงในรายการนะคะ แต่พอได้เห็นการแสดงของพี่ตาลที่ดูมีความสุขเวลาที่เขาโชว์ หลังจากที่ พี่ติ๊ก เพลย์กราวนด์ กรรมการตัดสินประกาศเลือกพี่ตาล หยดน้ำเสียใจมากค่ะ ร้องไห้ตั้งแต่ที่สตูดิโออัดรายการไปจนถึงบ้านเลย หลายชั่วโมงมาก ตื่นเช้ามา พ่อแทบจำไม่ได้เลย เพราะตาบวมมากค่ะ”

ขณะที่ผู้ท้าชิงคนที่ 3 “ชาชา-ณัฏฐนิชา ลีฬหะวัฒนะ” เลือกท้าชิงกับสมาชิกชั่วคราวหมายเลข 2 “ม่านมุก-ชดาธาร ด่านกุล” แต่แล้วชาชาก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไป เพราะกรรมการไม่ได้เลือกให้เธอได้ไปต่อ โดย ชาชา-ณัฏฐนิชา กล่าวว่า “ที่ชาชาเลือกแข่งกับพี่ม่านมุก เพราะคิดว่าเป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้แข่งกับไอดอลชื่อดังในเมืองไทยอย่างพี่เขา ตอนที่ชาชาโชว์จบก็เกือบจะร้องไห้แล้วค่ะ ไม่ใช่เพราะกลัวนะคะ แต่รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจและอินกับเพลง เล่าสู่กันฟัง หนูรู้สึกดีมากค่ะ ถึงแม้วันนั้นกรรมการอย่าง พี่สอง พาราด็อกซ์ จะไม่เลือกหนู แต่มีกรรมการอีก 2 คนที่เลือกหนูคือ พี่ปิง-เกรียงไกร และ พี่หนึ่ง ETC เลือกเรา น้ำตาหนูแทบแตกค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนเลือกเรา ในขณะที่เราแข่งกับไอดอลชั้นนำของเมืองไทย เราเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ หนูก็ดีใจที่มีคนเลือกหนูค่ะ”

ติดตามชม Last Idol Thailand Presented ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.30 -13.30 น. ทางช่อง 7 HD.