จากรณีที่ นางจันทร์ทิพย์  วงดาว อายุ 51 ปี ชาว กระบี่ ถูกสัตว์มีพิษไม่ทราบชนิดกัดที่ข้อมือซ้าย เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดข้อมือบวมแดงและเกิดอาการช็อก เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.กระบี่ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนค่อนข้างตื่นตระหนกและหวาดกลัว ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าอาจจะป็นฝีมือของ “แมงมุมพิษ” นั้น  

โดยในเรื่องนี้ นายประสิทธิ์ วงษ์พรม ผอ.ศูนย์ธรรมชาติศึกษาไทย ได้เคยให้ความรู้เกี่ยวกับแมงมุมพิษ พร้อมทั้งวิธีสังเกตผ่าน “เดลินิวส์ออนไลน์”  ไว้ว่า จากรายงานเรื่องแมงมุมในประเทศไทยพบแมงมุมมีพิษที่ประชาชนควรรู้ อยู่ 5 ชนิด คือ แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล ,แมงมุมแม่ม่ายหลังแดง ,แมงมุมพิษสีน้ำตาล ,แมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน  และ แมงมุมแม่ม่ายสีดำ โดยลักษณะที่เด่นชัดของแมงมุมมีพิษให้สังเกตตรงบริเวณท้องจะป่องขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากแมงมุมที่เราเจอตามบ้านทั่วไป

แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แถบฟลอริดา เทกซัส และบริเวณเขตเส้นศูนย์สูตร ซึ่งปัจจุบันแมงมุมชนิดนี้ได้ขยายพันธุ์กระจายไปทั่วโลกแล้ว และได้แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยแล้วด้วย และที่สำคัญ ปัจจุบันสามารถพบเจอได้ง่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยสาเหตุการแพร่ระบาดนั้น คาดว่า จะเข้ามากับเรือสินค้าเป็นหลัก และมีรายงานด้วยว่า มีพ่อค้าบางคนนำมาขายให้คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์แปลก โดยไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง

ทั้งนี้ ลักษณะของแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล สังเกตง่ายๆ จะมีลายตรงหน้าท้องเป็นรูปนาฬิกาทรายสีแสด หรือสีแดง และหากสังเกตหน้าท้องด้านบนจะมีสีน้ำตาลเป็นลักษณะครึ่งวงกลม ซึ่งบริเวณท้องจะมีสัดส่วนใหญ่กว่าส่วนหัวชัดเจนมาก โดยจะมีลายนูนบนท้องเป็นริ้วสีน้ำตาลสลับสีขาวอ่อนๆ ตรงริ้วเป็นจุดสามจุดเรียงกันสองแถว และจะมีถุงไข่เกาะรวมกันเป็นกลุ่ม มีลักษณะสีขาว คล้ายสำลีจุ่มน้ำ มีขนาด 1.5 เซนติเมตร และแมงมุม 1 ตัว สามารถวางไข่ได้มากถึง 20 ถุง ถุงละ 200-400 ฟอง

โดยแมงมุมชนิดนี้จะชอบชักใยทำรังอยู่ตามบริเวณที่รก เช่น ใต้ถุนบ้าน โรงรถ ห้องน้ำเก่า โรงไม้เก่า ลังไม้ รองเท้าเก่าๆ ใต้กะละมังเก่าๆ หรือแม้กระทั่งเก้าอี้เก่าที่วางไว้นานๆ และต้องให้ความรู้อีกว่า ปัจจุบันแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล มีโอกาสที่คนจะพบเจอได้มากที่สุด โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ พบเจอได้ทุกเขตพื้นที่ ซึ่งเขตที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ เขตจตุจักร และสามารถพบได้ทุกช่วง แต่ช่วงที่แมงมุมกระจายตัวมากที่สุดคือช่วงหน้าหนาว เพราะจะอาศัยแรงลมในการเปลี่ยนที่อยู่ใหม่

สำหรับลักษณะอาการที่เกิดขึ้น หลังจากโดนแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลกัดแล้ว ภายใน 15-30 นาทีแรก จะต้องมีอาการปวดร้อนและรู้สึกชาหรือตึงที่บริเวณแผล โดยลักษณะของแผลจะแดงเป็นจ้ำๆ ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะพิษของแมงมุมชนิดนี้จะเข้าไปทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดอาการชาขึ้นมา

แมงมุมแม่ม่ายหลังแดง ลักษณะของแมงมุมชนิดนี้ จะมีพิษอยู่บริเวณหลัง ลักษณะคล้ายเพลิงสีแดง ใต้ท้องจะมีสีส้ม แมงมุมชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่บริเวณใต้โพรงดิน สามารถพบเจอได้ตามภาคตะวันออก ภาคกลาง เป็นต้น
โดยลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ภายหลังจากโดนกัด จะมีอาการร้อนและชาที่แผล ซึ่งบริเวณแผลจะมีลักษณะแดงเป็นจ้ำๆ เล็กน้อย แต่ไม่มีแผลเหวอะวะ ซึ่งจากเคสที่เคยถูกแมงมุมแม่ม่ายหลังแดงกัด เมื่อเข้ารับการรักษาจะอยู่โรงพยาบาลไม่เกิน 2-3 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้ โดยแพทย์จะรักษาตามอาการและระมัดระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ

แมงมุมพิษสีน้ำตาล แมงมุมชนิดนี้ไม่ใช่สายพันธุ์แม่ม่าย มักจะกระจายตัวอยู่ในถ้ำ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายงานพบตามหมู่บ้านแต่อย่างใด ซึ่งพิษของแมงมุมชนิดนี้จะทำลายระบบเลือด มีอาการร้อนและชาที่แผล โดยภายหลังจากที่โดนกัดไปแล้ว 2 วัน แผลจะเริ่มเกิดการอักเสบ มีลักษณะเหวอะหวะคล้ายกับงูกะปะกัด ให้รีบไปพบแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้นาน 10-20 วัน แผลจะเน่าได้ และในบางรายที่แพ้พิษก็อาจมีไข้ร่วมด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องดูแลรักษาแผลให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

แมงมุมสันโดษเมดิเตอร์เรเนียน  เป็นแมงมุมพันธุ์พิเศษพบเห็นได้บ่อยๆ บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาพบบนเกาะฮาวาย , ออสเตรเลีย, จีนบางแห่ง, เกาหลีและญี่ปุ่น  ถูกพบค้นแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2559 ภายในถ้ำในเขตพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องจากพระราชดำริฯ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เท่านั้น  ชอบหลบซ่อนตัวตามซอกแคบ ออกหากินตอนกลางคืน ถึงจะมีพิษแต่ไม่มีนิสัยดุร้าย  ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลเข้ม ร่างกายแบนเรียว ขนาดตัวอยู่ที่ประมาณ 7.0-7.5 มิลลิเมตร มีพิษร้ายแรง บริเวณที่ถูกกัดจะมีการอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย โดยนำไปสู่การติดเชื้อจนถึงแก่ชีวิต

แมงมุมแม่ม่ายสีดำ ถ้าเราถูกกัดลักษณะอาการจะคล้ายกับถูกแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาลกัด แต่จะมีอาการแทรกซ้อนอีกคือ พิษของมันจะเข้าไปทำลายกล้ามเนื้อจุดกระบังลม อาจทำให้เกิดอาการเกร็งจนกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานได้

อย่างไรก็ตาม แมงมุมเป็นสัตว์ตัวเล็ก เพราะฉะนั้นปริมาณน้ำพิษแมงมุม เมื่อกัดและปล่อยเข้าไปสู่คนจะมีปริมาณน้อยมาก ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงานหรือวินิจฉัยอย่างจริงจังว่า พิษแมงมุมเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตโดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีกรณีของการเสียชีวิตจากพิษแมงมุมโดยตรง ดังนั้น ยืนยันว่า พิษแมงมุมในประเทศไทย ไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตแน่นอน แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ภายหลังจากที่โดนแมงมุมพิษกัดได้ก็คือ ภาวะแทรกซ้อนและการติดเชื้อจากแผล เนื่องจากความสกปรกของสัตว์ที่เข้าไปในผิวหนัง และเรื่องของอาการแพ้พิษในบางราย เช่น ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง มีไข้ หรือบางคนแพ้มากถึงขั้นหายใจไม่ออก

สิ่งสำคัญที่ประชาชนสามารถกำจัดแมงมุมพิษเหล่านี้ได้ ด้วยการดูแลรักษาทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งหากพบแมงมุมชนิดมีพิษอยู่ในบริเวณใด ยิ่งต้องหมั่นทำความสะอาดให้ถี่ขึ้น วันละ 3 ครั้งได้ยิ่งดี เพราะเมื่อแมงมุมพิษเหล่านี้ มาอาศัยอยู่จะต้องวางไข่ โดยเฉลี่ยแมงมุม 1 ตัว สามารถออกไข่ได้ 20 ถุง ถุงละประมาณ 200-400 ฟอง ดังนั้น ควรกวาดบ้านบ่อยๆ เพื่อเป็นการรบกวนแหล่งที่อยู่ แมงมุมเหล่านี้ก็จะหายไปเอง แต่ไม่ควรนำสารเคมี อาทิ ยาฉีดยุง ฉีดปลวก มด หรือแมลง ไปฉีด เพราะแมงมุมไม่ตาย แถมยังสามารถซ่อนตัวได้