จัดเป็นอีกหนึ่งสาวสุดสตรองที่หลายคนชื่นชอบและเอาใจช่วยในทุกเรื่องของชีวิตเธอหนักมากสำหรับสาว แพท ณปภา ที่ล่าสุดกว่าจะผ่านมรสุมติดไม่ติดโควิดมาได้ก็แทบแย่เหมือนกัน โดยล่าสุดสาวแพทไปพูดคุยในรายการคุยแซ่บ Show พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกือบติดโควิดในครั้งนี้ให้ฟังอย่างละเอียด

แพท เผยว่า ” จำได้ว่าวันนั้นวันที่ 19 แพทมีสวอบ 2 ที่ ที่แรกตอน 11.20 น. เป็น Rapid Test   ซึ่งเราไม่ได้ติดเชื้ออะไรก็ยังทำงานปกติ  แล้วอีกที่ตอนบ่าย 3 กว่า ต้องไปทำเป็น PCR เพราะทางลูกค้าต้องการผลที่เป็น PCR Test ซึ่งผลที่ออกมาตอนเที่ยงครึ่งของวันอังคารคือวันที่ 20 ผลออกมาเที่ยงครึ่ง เขาบอกว่า คุณแพทติดเชื้อ คือตอนนั้นเรากำลังจะเข้ารายการเลยอีกรายการหนึ่ง เราก็โกยของทุกอย่างขึ้นรถแล้วก็ตั้งสติ ตอนนั้นไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไร กลัวเพื่อนร่วมงานเพราะเราทำงานเยอะ เราเจอคนเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเราติดปุ๊บ แพทนับดูแล้วมีคนต้องเดือดร้อนเพราะเราอย่างต่ำ 30 คน  ตอนนั้นคิดอยู่ในใจ คือเรายังไม่ชัวร์เราอยากจะ สวอบอีกครั้ง แต่ที่เรากังวลคือลูกเรา เลขาฯ​ เราล่ะ ติดหรือเปล่า เพราะตอนที่เราสวอบเราทำคนเดียว แล้วเขาอยู่ใกล้ชิดเราตลอด 24 ชั่วโมง เราอยากรู้ผลของลูกเราจะทำอย่างไร เราก็เลยขับไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแล้วบอกเขาว่า เราเป็นโควิด เราอยากรู้ว่าลูกและเลขาฯ​ เราเขาติดไหม ทำให้วันอังคารเลยได้ไปทำสวอบอีกครั้งตอนบ่ายโมง แล้วยังคิดว่าเราจะเก็บผลอันนี้ไว้ก่อนไหม แพทยังคุยกับบูมอยู่เลย”

“ตอนนั้นเรายังไม่รู้ผลครั้งที่ 2 เราก็คิดว่าเราติด พอเราคิดว่าเราติด มันก็เข้าสู่กระบวนการของการรักษา แพทไม่รู้ว่ามันจะจบที่ 14 วัน 15 วันหรือ  30 วัน เราก็คิดว่าแล้วใครจะดูแม่เรา ถามว่ามีคนดูไหม แพทพูดตรงๆ ว่ามี แต่เราอยากเป็นคนทำเอง พอเราจะต้องไปฝากคนอื่น แพทก็จะต้องไปเพิ่มภาระให้กับคนอื่น โดยที่ไม่มีกำหนดว่าจะ 10 วันไหมหรือ 15 วัน คือผู้ป่วยติดเตียงของบ้านแพทไม่ได้มีแค่คุณแม่ แพทมีติดเตียง 2 คน แล้วแม่บ้านจะเป็นคนทำทุกอย่าง บูม : คือบ้านแพทเขามี 2 ฝั่งแล้วแม่บ้านต้องวิ่งไปวิ่งมา ก็อาจจะเหนี่อยนิดหนึ่ง แล้วถ้าแพทติดแม่บ้านก็ต้องกักตัว แล้วใครจะดูแลคุณแม่ต่อ แพทโทรหาน้อง แล้วก็บอกเขาว่าขอโทษนะ เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้ แพทอาจจะไปช่วยไม่ได้ เขาเห็นน้ำตาแม่ แล้วพี่เอ๋ยเลยบอกให้ปลอบแม่ เขาก็คงเก้ๆ กังๆ เขาตบไหล่ลูบหลังแม่บอกว่าไม่เป็นไรนะ”

แพท เล่าต่อว่า ” ตอนนั้นเห็นลูก แต่เราจะไม่พยายามวีดีโอคอล คือเราก็กลัวร้องไห้ เราไม่อยากร้องไห้ให้ลูกเห็น เราก็เลยพยายามคุยว่าเรซเป็นอะไร กินข้าวด้วยนะ แล้วก็วาง ส่วนคนที่แพทวิดีโอคอยคุยด้วยบ่อยที่สุดคือคุณบูม นางก็วิตก ก็คอลหากันตลอด ว่าผลออกหรือยัง เป็นอย่างไรบ้าง  เอาจริงๆแพทไม่เคยไม่นอนกับลูก แพทต้องส่งเขาให้ไปอยู่กับคุณตา เราก็คิดถึงลูก คือแพทไม่มีอาการ เราก็สงสัยว่าไม่มีอาการแบบนี้เราต้องอยู่อีกน่านแค่ไหน แล้วลูกเราจะโอเคไหมถ้าคนอื่นจะต้องเลี้ยงนานๆ  แพทเข้าใจเลยว่า มันเป็นอะไรที่ไม่รู้จะทำอย่างไร  แพทเข้าใจว่าหลายคนอาจจะคิดว่าทำไมแพทถึงตรวจเยอะ จริงๆแล้วแพทไม่ได้อยากตรวจเยอะนะ เพราะแพทเสียตังค์เอง คือครั้งแรกที่ตรวจเนื่องจากว่างานให้ตรวจ พอไปตรวจที่โรงพยาบาล เขาก็บอกว่าต้องตรวจทั้ง 3 คนเพื่อที่จะเข้าระบบการรอเตียง เพราะตอนนี้คุณไปตรวจแลปมาใช้ผลอันนี้ไม่ได้ ต้องไปตรวจใหม่ แล้วระหว่างรอผลเราเครียดเราก็เลยโทรไปหาอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ไปตรวจอีก ปรากฎว่ารอผล จริงๆ แล้ววันอังคารผลมันออกมาแล้ว ว่าไม่เป็น แต่ที่เรายังไม่ได้โพสเพราะคุณหมอขออนุญาติยังไม่ไห้โพสผลอันนี้ เพราะคุณหมอมองว่าคุณมาด้วยเหตุผลว่าคุณติด ทำไมโรงพยาบาลฉันตรวจแล้วคุณไม่ติด”

“คุณหมอบอกว่าถ้าคุณแพทต้องการใช้ผลเพื่อเป็นการยืนยัน ผลแค่สวอบอาจจะไม่พอ อาจจะต้องขอสวอบใหม่ อาจจะต้องตรวจเลือดตรวจภูมิ ตรวจปอด เพราะถ้าไม่เป็น คุณแพทก็จำเป็นที่จะต้องใช้ผลพวกนี้มายืนยัน่อีกว่าทำไมถึงไม่เป็น ไม่ใช่แค่เราจะออกมาพูดว่าไปตรวจอีกที่แล้วไม่เป็น เพราะคนอื่นก็ต้องมีคำถามว่าทำไมเราเชื่อที่นี่ ทำไมเราไม่เชื่ออันแรก เราก็เลยต้องพิสูจน์ด้วยการขอสวอบใหม่ โดยการตรวจเลือดว่าค่าเลือดเราเป็นอย่างไร เพราะค่าเลือดที่เขาเรียกกันว่า IGA IGM มันไม่เป็นโพสซิทีฟ หมายความว่าเราไม่ได้ติดเชื้อเลือดเราไม่ได้รู้กับโรคมันก็เลยไม่ขึ้นเป็นโพสซิทีฟ และอีกอย่างหนึ่ง ภูมิแพทไม่ขึ้น ตอนนั้นเราก็เริ่มใจชื้นว่าน่าจะมีข้อผิดพลาด คือผลออกมาแล้วแล้วโรงพยาบาลอีก 2 แห่งที่เราไปตรวจมันอันดีเทกต์ทั้งคู่ เราก็คิดว่าแล้วเราจะตอบสังคมอย่างไร  เพราะค่าเลือดก็ไม่ขึ้น ภูมิก็ไม่ขึ้น  ปอดก็ไม่ขึ้น  แปลว่าไม่เคยติดเชื้อ เราก็เลยเอาผลนี้มาลง ส่วนที่แรกที่เขาตรวจเราเขาบอกให้เราไปตรวจซ้ำ ซึ่งเราเพิ่งจะตรวจ 2 ที่นี้ เรารู้สึกว่าค่าตรวจมันก็หนักอยู่  ซึ่งคุณหมอก็บอกว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้เพราะโรงพยาบาลก็มีคนตรวจเยอะ การตรวจแล็บมันถูกกว่า เพราะฉะนั้นการรองรับ มันอาจจะมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพราะอันที่แพทโพสต์ ค่า CP มันก็ไม่เยอะ”

“แพทพูดตรงๆ​ นะระหว่างโควิดกับสายตาสังคมอันไหนน่ากลัวกว่ากันรู้ไหม สายตาสังคม เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่เราต้องเสียเงินตรวจแล้วตรวจอีก ตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อเอามาตอบสังคม มาตอบว่าทำไมถึงไม่เป็น ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่าเป็น นี่แค่ค่าตรวจอย่างเดียวเสียไป 30,000 บาทแล้ว พูดเลยว่าแพทก็ไม่อยากเสียตังค์ ถามว่าอยากตรวจไหม คือถ้าไม่ติดว่าจะส่งผลกระทบกับใครๆ แล้วทุกคนก็จับจ้อง แล้วเราต้องมานั่งคำถามเรื่องนี้ เราก็เลยต้องลงทุนกับมัน เพื่อให้ได้คำตอบที่แน่ชัด ช่วงโควิดผลกระทบก็ครึ่งๆเห็นอย่างนี้ถือว่าเราโชคดีนะที่เรามีงานประจำ มีงานในสายพิธีกรที่ต้องรันต้องออนทุกวัน แต่งานสายอื่นๆ ล่ะ อย่างงานอีเวนต์ ไลฟ์เองก็ยังไม่ค่อยจะมีเลย อย่างงานรีวิวสินค้า ในเศรษฐกิจแบบนี้ก็ขายยาก บางที่เจ้าของเขาก็ขายเองไม่จ้างเรา เรื่องค่าตัวทุกที่ต่อรองหมด ซึ่งเราเข้าใจ เรารับหมด เราจะไปเอาเท่าเดิมได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างมันน้อยลง คือถ้าอยากมีงานก็ต้องสู้”

แพท เล่าต่อว่า “เรื่องโรงเรียนลูก อย่างที่ทราบพอมาเจอวิกฤติแบบนี้ ซึ่งปกติเขาอยู่โรงเรียนเขาก็ไม่ค่อยจะเอาอะไรอยู่แล้ว จะมาเรียนออนไลน์ แล้วมือถือแม่ก็จอเล็กๆ แล้วเวลาเขาเรียน เขาไม่ได้เรียนคนเดียว เราต้องมาเรียนกับเขา เพราะเขาไม่มีความสนใจ เขาได้แต่คุยกับครูในหน้าจอ แพทคิดว่าเด็กวัยนี้ต้องเรียนตัวต่อตัว ต้องเรียนที่ครูสามารถคุยกับเขาได้ ถ้าเขาไม่สนใจเขาก็แค่ปิดมือถือลง แล้วแพทก็ทำงาน เข้า กลางวัน เย็น พอสามโมงแพทก็ต้องป้อนข้าวคุณแม่ แล้วบางทีแพทก็ต้องรีวิวสินค้า แพทก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องมานั่งทำอย่างไร จริงๆ แพทเสียตังค์ก็ควรให้ลูกไปโรงเรียน แต่เมื่อมันทำไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้โรงเรียนจะเปิด คุณพ่อคุณแม่กล้าส่งลูกไปโรงเรียนไหม ก็ไม่กล้า ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แพทก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเรซ เดี๋ยวมันจะมีทางของหนู​ วันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาที่หนูถนัด คือแพทวัดจากตัวแพท แพทเรียนวิทย์คณิตมา จบ​ ม.6 มาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.6  3.7 มันควรจะไปทางหมอทางอะไร แต่สุดท้ายเราก็มาทางนี้ แล้วทางนั้นที่เราเรียนในวัยนั้น พ่อแม่อยากให้เรียนเพราะคิดว่าเราไปได้ แต่พอมาวันหนึ่งที่เราเลือกเองได้ เราก็ไม่ได้เลือกทางนั้น เราเลือกทางนี้อยู่ดี แล้ววันหนึ่งเขาก็คงต้องเลือกว่าเขาถนัดอะไร”