เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ผศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษามีอัตราฆ่าตัวตายสูงถึง 20% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ประชาชนประสบกับปัญหาการดำเนินชีวิตต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้เกิดภาวะความเครียด สับสน เป็นสาเหตุให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพตามมา โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิตซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของประชาชนมาโดยตลอด จึงได้ดำเนินการเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้น โดยจัดบริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตแก่ประชาชนในโรงพยาบาลของสำนักการแพทย์ และที่ศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) ของสำนักอนามัย เพื่อสร้างกำลังใจที่พร้อมจะเผชิญปัญหาในการดำเนินชีวิต อันจะเป็นการลดความเจ็บป่วยทั้งทางกายและจิตใจ และไม่หันไปตัดสินแก้ไขปัญหาด้วยวิธีรุนแรง สำหรับบริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตที่กรุงเทพมหานครจัดให้แก่ประชาชน มีดังนี้

1. บริการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ผ่านสายด่วนสุขภาพสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร โทร.1646 ตลอด 24 ชั่วโมง 2. เปิดให้บริการคลินิกจิตเวช ในโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลสิรินธร โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ โรงพยาบาลลาดกระบังกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์

สำหรับการให้บริการด้านจิตเวชของสำนักอนามัย มีการตรวจประเมินคัดกรองด้านสุขภาพจิตเบื้องต้น ในศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง ในวันและเวลาราชการ กรณีประเมินแล้วพบอาการรุนแรง มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย จะนัดหมายเข้าคลินิกจิตเวชให้บริการตรวจรักษาจ่ายยาและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต โดยจิตแพทย์ หรือส่งต่อโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชต่อไป 

ในส่วนของมาตรการเชิงป้องกัน สำนักอนามัย โดยศูนย์บริการสาธารณสุข ได้จัดอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข ให้ช่วยเฝ้าระวังประชาชนที่มีอาการซึมเศร้า โดยแจ้งผ่าน ศบส. เพื่อประเมินสุขภาพจิตและให้การช่วยเหลือ และมีการพัฒนาระบบการประเมินสุขภาพจิตด้วยตนเองผ่าน QR code ซึ่งประชาชนจะทราบผลการประเมินและสามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้ พร้อมทั้งออกให้บริการหน่วยเคลื่อนที่ เพื่อดูแลสุขภาพเชิงรุกในชุมชนและสถานประกอบการที่แจ้งเข้ามา มีการให้ความรู้ การประเมินโรคซึมเศร้า ให้คำปรึกษา ติดตามดูแลช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง และส่งต่อหากอาการไม่ดีขึ้น และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีคุณค่าในอัตราที่พอเหมาะ พักผ่อนให้พอเพียงเลี่ยงพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมทั้งที่บ้าน ที่ทำงานให้สะอาดน่าอยู่ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งทางใจและทางกาย เป็นต้น.