สถานการณ์ปัจจุบัน

ในกลุ่ม G ไทยลงสนามมาแล้ว 5 นัด เริ่มด้วยเล่นในบ้านเสมอ เวียดนาม 0-0, บุกชนะ อินโดนีเซีย 3-0, เปิด สนาม มธ.รังสิต ชนะ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) 2-1, แพ้ มาเลเซีย 1-2, เสมอ เวียดนาม 0-0

กลุ่มนี้ 1.เวียดนาม 5 นัด 11 แต้ม, 2.มาเลเซีย 5 นัด 9 แต้ม, 3.ไทย 5 นัด 8 แต้ม, 4.ยูเออี 4 นัด 6 แต้ม และ 5.อินโดนีเซีย แพ้รวด 5 นัด ตกรอบแล้ว

หลังโควิดมาเยือนตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ก็เลื่อนกันมาเรื่อย ก่อนจะรื้อระบบ มาเตะประเทศเดียวจบๆ ไปเลย โดย ไทย กับ ยูเออี แย่งสิทธิจัดกัน และสุดท้ายเสร็จยูเออี

ตรงนี้ถือว่าเสียหายเยอะ เพราะ ยูเออี คือทีมแย่งเข้ารอบโดยตรง อย่างน้อยก็ชิงที่ 2 เมื่อโยกไปเล่นบ้านเขา ความได้เปรียบไปอยู่ที่ลูกทีมของ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ค ทันที

ลองคิดดูหาก ไทยได้เป็นเจ้าภาพ โอกาสจะสดใสแค่ไหนนอกจากนี้ มีโจทย์ยากขึ้น ผลกระทบจากที่ เกาหลีเหนือถอนตัว ทำให้การคิดคะแนนอันดับ 2 ที่ดีที่สุด 4 ทีม จาก 8 กลุ่ม เมื่อไปเทียบกับกลุ่มอื่น จะตัดผลการเจอทีมสุดท้ายออกไป

ใครโอกาสดีกว่า
โปรแกรมที่เหลือ วันที่ 3 มิ.ย. ไทย พบ อินโดฯ, ยูเออี พบ มาเลเซีย/วันที่ 7 มิ.ย. ยูเออี พบ ไทย, เวียดนาม พบ อินโดฯ/วันที่ 11 มิ.ย. อินโดฯ พบ ยูเออี, มาเลเซีย พบ เวียดนาม/วันที่ 15 มิ.ย. ยูเออี พบ เวียดนาม, ไทย พบ มาเลเซีย

ดาวทอง สถานการณ์ดีกว่าเพื่อน ถ้าเก็บ อินโดฯ, เสือเหลือง ตามเป้า แล้วไปยันเสมอ ยูเออี นัดสุดท้าย ก็ได้แชมป์กลุ่ม ขณะเดียวกัน ยูเออี ก็กุมชะตาในกำมือตัวเอง หากชนะ 4 นัดที่เหลือ ก็แชมป์กลุ่มเช่นกัน ในทำนองเดียวกับ มาเลเซีย หากเร่งเครื่องชนะรวด หรือออกเสมอซักนัดก็น่าจะฉลุย

ส่วนไทย แม้อยู่ที่ 3 แต่แข่งมากกว่า ยูเออี ทีมอันดับ 4 โจทย์ของช้างศึกตั้งไว้เลยว่าอย่างน้อยต้อง 7 แต้ม ซึ่งนั่นไม่เพียงพอต่อการได้แชมป์กลุ่ม ต้องไปลุ้นอันดับ 2 ที่ดีที่สุด หรือแม้แต่เฮี้ยนจัด ชนะรวด ได้ 9 แต้ม ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้แชมป์กลุ่ม แต่น่าจะเพียงพอต่อการได้อันดับ 2 ที่ดีที่สุด

ยุทธศาสตร์ของไทย คือนัดแรกต้องชนะ อินโดนีเซีย, นัดต่อมาต้องไม่แพ้ ยูเออี หรือควรชนะ และนัดสุดท้ายกด เสือเหลืองให้ได้

เห็นได้ชัดว่า เกมกับ ยูเออี คือกุญแจสำคัญ เพราะถ้าแพ้จะโดนเบียดตกขอบ

แต่ก่อนอื่น เกมแรกกับ อินโดนีเซีย ท่องไว้อย่างเดียวว่า ห้ามพลาดเด็ดขาด

โควิดเผาแคมป์ทำแผนพินาศ
ช้างศึก หยุดเคลื่อนไหวไปนาน โดยบอลลีกเร่งๆ ให้จบเร็วๆ หวังจะให้ซ้อมรวดเดียวกันไปเลย

อากิระ นิชิโนะ เรียกนักเตะไว้ 47 คน แผนการวางไว้ดี ไม่นับตัวที่เล่นต่างชาติ ก็ให้ซ้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. สำหรับชุดแรก กับ 7 พ.ค. นักเตะชุด 2 มาสมทบ จะมีนักเตะที่ซ้อมกันรวมแล้ว 41 คน เมื่อตัดนักเตะเล่นในไทยที่ถอนตัว

ความตั้งใจแต่แรกคือ จะตัดตัวก่อนแล้วค่อยพาไปยูเออี อาจจะเอาไป 25-27 คน เพราะเปลี่ยนชื่อได้ทุกนัด เดินทางวันที่ 21 พ.ค.

ซ้อม 3 สัปดาห์ที่ไทย แล้วไปต่ออีกราว 2 สัปดาห์ที่ยูเออี จัดว่าปึ้กเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม มรสุมลูกบิ๊กเบิ้มก็มา แคมป์ชุดแรกเจอนักเตะ 2 คนติดโควิด และเจ้าหน้าที่อีก 4 คนด้วย มาจากการตรวจเมื่อวันที่ 7 พ.ค.

พลาดตรงไหน เชื้อเข้ามาได้อย่างไร เป็นข้อสงสัย

แม้สังคมไทยใจดี ไม่ไปสืบสาวหาต้นตอ แต่เชื้อเข้าแคมป์ครั้งนี้ ทำให้แผนที่วางไว้พังพินาศไปหมด นักบอลซ้อมร่วมกันไม่ได้ ไม่ได้ลงแทคติก ต้องแยกตัวห้องใครห้องมันได้แต่รักษาสภาพร่างกาย จากที่จะได้ซ้อมแต่กลายเป็น 14 วันที่สูญเปล่า

ผลกระทบต่อเนื่อง เมื่อซ้อมกันไม่ได้ ก็เลยไม่เห็นฟอร์ม ไม่ได้ตัดตัว สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ไฟเขียวให้ นิชิโนะ เอานักเตะไปได้หมด แล้วไปตัดตัวที่ยูเออี กลายเป็นทัพมโหฬารบานตะไท ซึ่งไม่รู้ว่าในใจ นิชิโนะ คิดไว้ว่าอาจจะได้ใช้ทุกคนเลยหรือเปล่า

แน่นอนไปกันเยอะ ย่อมหมายถึงงบประมาณมหาศาลขึ้นอีก และอย่าลืมว่าด้วยมาตรการกันโรค ต้องนอนโรงแรมห้องละคน จ่ายกันทวีคูณ

แผนพัง ทีมชาติไม่ได้ซ้อม แถมจ่ายเพิ่มมโหฬาร

โควิดบุกหนนั้น เผาแคมป์ช้างศึกวอดวายเสียหายร้ายแรง

ถอนตัวระนาว
จาก 47 นักเตะ มีถอนตัวไป 5 คน 

ธีรศิลป์ แดงดา รายแรก เพราะอาการบาดเจ็บ ต่อด้วย ฟิลิป โรลเลอร์ และ ธีระพล เยาะเย้ย

เป็นดราม่าหนักคือ ธีราทร บุญมาทัน

และล่าสุด ชนาธิป สรงกระสินธ์ 

ขีดเส้นใต้ชัดๆ การไม่มี ธีรศิลป์, ธีราทร และที่สำคัญ ชนาธิป ก็น่าใจหาย เพราะนอกจากฝีเท้าแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เราต้องการความเก๋าเข้ามาประคับประคองรุ่นน้อง

โดยเฉพาะช่องโหว่ตรง ชนาธิป ที่ต้องแก้ไขกันยกใหญ่ เพราะเขาคือหัวใจเกมรุก กับการเลี้ยงกินตัว จ่ายทะลุทะลวง โอเคแหละ หลายนัดที่เจ้าเจ เล่นไม่ออกในทีมชาติ แต่ใครจะเถียงว่า ถ้ามีเขาย่อมดีกว่า

“นักเตะที่ดีที่สุด คือนักเตะที่มี” เป็นแค่คำปลอบใจ

ตัวรุกที่เหลือ ที่เคยตอบโจทย์ อย่าง เอกนิษฐ์ ปัญญา ก็ขอให้ฟิตพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนรายอื่น สุมัญญา ปุริสาย, จักรพันธ์ แก้วพรม, สุภโชค สารชาติ จะเป็นสไตล์ที่แตกต่างไป ต้องเปลี่ยนแทคติก ส่วน “เจ้ากัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ดีกรีเลสเตอร์ การมาร่วมทีมแค่ราว 1 สัปดาห์เศษๆ ไม่น่าเพียงพอต่อการปรับตัวได้เต็มที่

ลุ้นระทึกศึกแตกหัก
ปัญหาของไทย จัดว่าหนักกว่าคู่แข่ง อย่าง เวียดนาม ที่ซ้อมกันมาเป็นระยะ ที่เจ็บต้องถอนตัวคือ โด ฮุง ดุง, ดวน วาน เฮา ที่เคยไปเล่นฮีเรนวีน, ยูเออี ไร้ โอมาร์ อับดุลราห์มาน ที่ฟอร์มตก ส่วน มาเลเซีย มีปัญหาโควิด เพิ่งได้ซ้อมกันไม่นาน

แต่ไม่มีเวลาให้ฟูมฟาย ไม่มีความสำเร็จใดปราศจากอุปสรรค แม้อุปสรรคมันจะใหญ่เป้ง

ราว 12 วัน ก่อนประเดิมแมตช์แรก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ อากิระ นิชิโนะ จะผสมผสานช้างศึกให้ลงตัว

แม้ไม่มี 3 แข้งหลัก แต่คนที่ยังอยู่ก็ถือว่ามีเกรด แนวรับ พรรษา เหมวิบูลย์, มานูเอล ทอม เบียร์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม หรือแม้แต่แบ๊กซ้าย ศศลักษณ์ ไหประโคน ซึ่งกำลังไปเล่น ชุนบุค ฮุนได ในเคลีก

แดนกลาง สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, เอกนิษฐ์ ปัญญา, จักรพันธ์ แก้วพรม ไล่ไปถึง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร

3 พลังรุกบุรีรัมย์ ที่กำลังไปเลสเตอร์ สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ไล่ไปถึง อดิศักดิ์ ไกรษร ตัวโป้งปิดบัญชี ขณะที่ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ก็ฟอร์มแรงกับ ทรู แบงค็อก

เห็นได้ชัดว่า นิชิโนะ ยังมีทรัพยากรชั้นดีให้เลือกใช้ และจัดสรร

ช้างศึก ลุย 3 นัดท้ายคัดบอลโลก โดยรวมแล้วอาจจะไม่เพอร์เฟกต์ ไม่ดีที่สุดที่เราเคยมี แต่เท่าที่มีหลายคนก็อยู่ใน “เกรดเอ” มีทั้งฝีเท้า และประสบการณ์ระดับเอเชีย

และหวังว่าราว 10 กว่าวัน นิชิโนะ จะติวเข้มแทคติกจนลงตัว

เข้าสู่สมรภูมิรบแล้วไม่มีอะไรต้องกลัวกัน ทุกอย่างวัดที่ในสนาม

3 นัดสุดท้าย 3 นัดอันตราย ยากแน่นอน แต่ไม่เกินความสามารถ

ไปต่อหรือพอแค่นี้ คำตอบกำลังปรากฏ

ติดตามชมติดตามเชียร์ พลพรรคช้างศึก กับเกมสำคัญ ชนิดที่พลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว.

*** วุฒินล บุญวานิช ***