สืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีการทุจริตและยักยอกทรัพย์ในชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นคดีพิเศษที่ 215/2565 โดยมีการบุกเข้าตรวจค้นหาหลักฐานเอกสารใน จ.กระบี่ 9 จุด เพื่อแสวงหาหลักฐานพิสูจน์ความผิดไปหนึ่งครั้งแล้วนั้น เนื่องจากการสอบสวนขยายผล ปรากฏพยานหลักฐานสำคัญบางประการที่จำเป็นต้องดำเนินการที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคลองท่อม จ.กระบี่ เนื่องจากพบว่ามีบริษัทผู้ประกอบการปาล์มน้ำมันแห่งหนึ่ง เข้ายึดถือครอบครองเป็นเจ้าของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคลองท่อม โดยมีเหตุอันสมควรเชื่อว่าน่าจะเป็นการครอบครองหรือการได้มาโดยมิชอบ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด มาก่อน และผู้บริหารบริษัทดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้บริหารของชุมนุมสหกรณ์ฯ โดยมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ที่อาจจะเข้าข่ายเป็นคณะผู้บริหารเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง จนส่งผลต่อผู้ถือหุ้นสหกรณ์ที่เป็นเกษตรกรชาวสวนปาล์ม มากกว่า 50,000 ราย ได้รับความเสียหาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พร้อมด้วย พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษ สนธิกำลังนำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยสนธิกำลังร่วมกับนายประกอบ เผ่าพงศ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และตำรวจภูธร จ.กระบี่ เข้าตรวจค้นบริษัทเป้าหมายที่ตั้งอยู่ภายในโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มคลองท่อม จำกัด ในพื้นที่ ต.คลองท่อม จ.กระบี่ เบื้องต้นพบเอกสารสำคัญที่สามารถเป็นพยานหลักฐานได้จำนวนหนึ่ง หลังจากนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อมีความเห็นทางคดีตามพยานหลักฐาน โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนชาวสวนปาล์มในพื้นที่ จ.กระบี่ และพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมาก คณะกรรมการคดีพิเศษ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคดีพิเศษ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ได้ให้ความสำคัญ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีด้วยความรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามกฎหมาย.