ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 145/12 หมู่ 5 ต.ท่าบุญมี อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ของนางวรรณา สมสู่ อายุ 67 ปี หลังได้ทราบเรื่องราวความเดือดร้อนว่า บ้านถูกต้นโพธิ์ยักษ์อายุกว่า 100 ปี โค่นทับบ้านจนพังเสียหาย ต้องอาศัยอยู่ในซากบ้านที่พังอย่างยากลำบาก มานานกว่า 1 เดือนแล้ว เพราะฐานะยากจน ไม่มีเงินซ่อมแซม ที่เกิดเหตุพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านชั้นเดียว เหลือเพียงเศษอิฐเศษปูน กระจัดกระจาย นางวรรณาต้องไปอาศัยนอนในห้องครัวขนาดเล็ก ฝาบ้านผุ หลังคาสังกะสีเปิดเป็นรูเพราะแรงลมและแรงกระแทกจากการล้มของต้นโพธิ์ ข้าวของในบ้านพังเสียหาย

  
นางวรรณา เล่าว่า เมื่อวันเกิดเหคุคือวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. เกิดพายุลมแรง ฝนตกหนัก ส่งผลให้ต้นโพธิ์ยักษ์ที่อยู่ข้างบ้าน ล้มทับบ้านตนมาทั้งต้น หลังคา กำแพงบ้าน ในส่วนของห้องนอนและโถงบ้าน เสียหายทั้งหมด โชคดีที่ต้นโพธิ์ไม่ทับมาที่ตน ไม่เช่นนั้นคงบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังจากเกิดเหตุ ก็มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการหลายหน่วยมาช่วยเหลือรื้อถอนบ้านที่พัง และแจกข้าวสาร 2 ถุง ไข่ 1 แผง แต่ทั้งนี้ทางหน่วยงานราชการให้ข้อมูลว่าไม่สามารถซ่อมแซมบ้านให้ตนได้ เพราะตนไม่มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ของกรมป่าไม้ ตนต้องอยู่อย่างยากลำบาก


ด้านนาวาโท สุนทร แพงไพรี ประธานเครือข่าย ภาคประชาสังคมแทนคุณแผ่นดิน กล่าวว่า ชาวบ้านราว 14 หลังคาเรือน ได้โยกย้ายถิ่นฐานจากบริเวณเขื่อนวัชโรธร มาบริเวณนี้เพราะเป็นที่ว่างเปล่า อาศัยมานานกว่า 30 ปีแล้ว เมื่อเกิดเหตุจึงไปขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ภาครัฐก็ไม่สามารถช่วยได้ เพราะให้เหตุผลว่าที่ดินไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของนางวรรณา แต่ตนและชาวบ้านมองว่ามีการออกบ้านเลขที่ และเรื่องของความเดือดร้อนชาวบ้าน ควรมีทางช่วยเหลือ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และขณะนี้ได้ทำการยื่นเรื่องไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วเพื่อพิจารณาออกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับชาวบ้านต่อไป.