น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง  เปิดเผยว่า ตามที่มีการแชร์ข้อมูลในสื่อออนไลน์เรื่อง ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นอันดับ 1 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับ 2 ของโลก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

โดยทางกรมควบคุมโรค และศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งตามรายงานสถานการณ์ล่าสุดของทาง ศบค. จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 44 และจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมอยู่อันดับที่ 69 ไม่ได้เป็นไปตามที่โพสต์ระบุไว้แต่อย่างใด

นอกจากนี้ ตามที่มีการส่งต่อข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เรื่อง อเมริกาจะปล่อยเชื้อโควิดในประเทศไทย ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรงภายใน 2 ชม. และอยู่ได้ไม่เกิน 2-3 วัน นั้น ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จไ ม่มีมูลว่าข่าวดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกกระทรวงการต่างประเทศ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.mfa.go.th หรือโทร. 0-2203-5000

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เรื่อง จ.ภูเก็ต พบผู้เสียชีวิตตามที่สาธารณะเป็นจำนวนมาก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ไม่เป็นความจริงตามที่โพสต์ดังกล่าวระบุแต่อย่างใด โดยโพสต์ที่ถูกเผยแพร่ดังกล่าวทำให้จังหวัดภูเก็ตได้รับความเสียหาย กระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง

ทั้งนี้ขอเตือนไปยังผู้ที่สร้างข่าวปลอมต่างๆ ให้หยุดการกระทำนั้นเสีย การผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม หรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความตื่นตระหนก เกิดความสับสนวุ่นวาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2), (5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือ คำสั่งที่ออกตามความมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง