ศึกยูโร 2020 นัดส่งท้ายรอบแรก กลุ่ม F ที่สนามปุสกัส อารีนา ประเทศฮังการี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทีมชาติโปรตุเกส แชมป์เก่า ซึ่งมี 3 คะแนนจากการชนะ 1 นัดแพ้ 1 นัด ลงสนามดวลเกือก ฝรั่งเศส รองแชมป์เก่า ที่มี 4 คะแนนจากการชนะ 1 เสมอ 1 นัด

ช่วงต้นเกม โปรตุเกส ทำเกมได้ดีกว่า และมาได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ อูโก โยริส นายทวารของฝรั่งเศส ทำฟาวล์ ดานีโล เปเรยรา ก่อนที่ คริสเตียโน โรนัลโด จะสังหารเข้าไปส่งให้ แชมป์เก่า ขึ้นนำก่อน 1-0 อย่างไรก็ตามในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 45+2  ฝรั่งเศส มาได้จุดโทษบ้างจากจังหวะที่ เนลซอน เซเมโด ไปทำฟาวล์ คีลิยัน เอ็มบัปเป และก็เป็น คาริม เบนเซมา ที่กดเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ให้ ทีมเมืองน้ำหอม

ครึ่งหลัง “ตราไก่” ออกตัวแรง เมื่อขยับแซงนำ 2-1 จาก เบนเซมา คนเดิมในนาทีที่ 48 โดยตอนแรกผู้กำกับเส้นยกธงเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนที่ผู้ตัดสินจะกลับคำตัดสินให้เป็นประตูหลังเช็กกับทีมงานวีเออาร์เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม โปรตุเกส ไม่ยอมแพ้เมื่อตามตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จจากจุดโทษของ โรนัลโด ในนาทีที่ 60 ซึ่งนับเป็นประตูที่ 5 ของเจ้าตัวในทัวร์นาเมนต์นี้แล้ว ช่วงเวลาที่เหลือ “เลส์ เบลอส์” ยังเดินหน้าเข้าใส่ แต่ โปรตุเกส ก็ยันเอาไว้ได้จบเกม ฝรั่งเศส เสมอ โปรตุเกส ดุเดือด 2-2

จากการเสมอนัดนี้ทำให้ โปรตุเกส มี 4 คะแนนจาก 3 นัด รั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม Fผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะหนึ่งในทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด โดยจะพบกับ เบลเยียม ที่เซบีญา ในวันจันทร์ที่ 28 มิ.ย. ส่วน ฝรั่งเศส มี 5 คะแนนคว้าแชมป์กลุ่มไปครอง โดยจะเข้ารอบไปพบกับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่บูดาเปสต์ ในวันอังคารที่ 29 มิ.ย.ต่อไป.

ภาพจาก @EURO2020