เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน บางรัก นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 ได้พบกับสหสมาคมตระกูลแซ่แห่งประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการสหสมาคมฯ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2565 โดย นายสุชัชวีร์ กล่าวในงานว่า ตนเป็นคนเชื้อสายจีน มีชื่อจีนว่า “หลี่ฟ้าเฉิน” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ได้เล่าให้ฟังเสมอว่าเรามีโอกาสมาอยู่บ้านนี้บ้านเมืองนี้มาเพื่ออยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร ทำให้เราทุกคนได้มีโอกาสทำมาหากิน ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ คุณแม่พูดกับตนทุกวันว่าถ้ามีโอกาส ก็ขอให้ตอบแทนพระคุณของแผ่นดินนี้ เพราะเราลูกหลานชาวจีน ยึดถือเสมอว่าความกตัญญูกตเวทีนั้น เป็นสมบัติสูงที่สุด เป็นสิ่งที่ลูกหลานทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเสมอมา

“ผมเชื่อว่าผมกลับมาที่นี่ ผมมาพูดด้วยใจ ในฐานะลูกหลานคนหนึ่ง ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ชีวิตของผมได้มีโอกาสเพราะได้เล่าเรียน สมัยก่อนทั้งคุณแม่ คุณลุง ชวนญาติที่เมืองจีนมาเมืองไทย แต่สมัยนี้พวกเขาบอกว่าชีวิตที่เมืองจีนมีโอกาสมากกว่า ทั้งโอกาสในการทำธุรกิจ โอกาสทางการศึกษา โอกาสอยู่ในบ้านเมืองที่ดี ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ายังไม่พ้นรุ่นของผมเลย วันนี้ประเทศจีนที่ในอดีตลำบาก มีคนจนกว่า 90% วันนี้แทบจะไม่เหลือคนจนอยู่ในบ้านเมืองเขา”

นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า คนจีนและคนไทยวันนี้เราเป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว เราไม่ต่างอะไรจากชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีนหรือในหลายๆประเทศ เราขยัน อดทน ตั้งใจเรียนหนังสือ เสียสละทุกอย่างเพื่อแผ่นดินนี้ แต่ทำไมวันนี้ประเทศไทยยังเป็นเหมือนเดิม ทำไมกรุงเทพฯ ยังต้องเจอปัญหาซ้ำซาก ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนรู้คำตอบว่าเป็นเพราะผู้นำเท่านั้น ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ควรจะเป็นเมืองที่เติบโตไม่แพ้กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ หรือแม้แต่เมืองเซี่ยเหมินของจีน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของต้นตระกูลของตน ประเทศจีนวันนี้มีผู้นำที่มีความมุ่งมั่นจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งส่วนตัวตนศรัทธานายเติ้ง เสี่ยวผิง อดีตประธานาธิบดีจีน ที่ได้วางอนาคตประเทศจีนไปถึง 50 ปี ท่านเคยบอกว่าทายาทของประเทศจีนคนต่อไป ต้องเป็นคนที่รู้เรื่องวิศวกรรม นั่นคือ นายเจียง เจ๋อหมิน จบวิศวกรรมไฟฟ้า ทำให้จีนพลิกผัน

จากนั้น นายหู จิ่นเทา เป็นวิศวกรโยธา เช่นเดียวกับตน และวันนี้นายสี จิ้นผิง วิศวกรเคมี ประเทศจีนก้าวกระโดดกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก หรือในคณะกรรมการบริหารชาติจีนเกือบทั้งหมดจบวิทยาศาสตร์ เพราะจีนบอกว่าการจะขจัดความยากจนต้องใช้เทคโนโลยีเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทย กรุงเทพฯ ขาดผู้นำ ถ้ามีผู้นำที่มุ่งมั่น มีพลัง ดังนั้น ประเทศไทยและกรุงเทพฯต้องดีกว่านี้แน่

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนมาพร้อมกับความมุ่งมั่น เมื่อตนได้โอกาสทางการศึกษา จึงอยากใช้โอกาสนี้ หากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. การศึกษาของกรุงเทพฯ จะต้องดีขึ้น ด้วยนโยบาย “โรงเรียนดี ใกล้บ้าน” เพราะทุกท่านรู้ว่า หากการศึกษาของเมืองหลวงยังเป็นอย่างนี้ อีกกี่ชาติ ประเทศไทยก็สู้ใครไม่ได้ในอาเซียน ถ้าไปดูการศึกษาของสิงคโปร์ และมาเลเซีย จะเห็นได้ว่าวันนี้เขาไปไกลกว่าไทยไม่รู้กี่ช่วงตัว เรื่องนี้ตนอยากทำจริงๆ นอกจากการศึกษาแล้ว ตนอยากให้คนกทม.เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐหรือของครอบครัว กทม.ต้องสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ด้วยนโยบาย “หมอมี สาธารณสุขดี ใกล้บ้าน”