เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ตลาดเมืองไทยภัทร เขตห้วยขวาง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) พร้อมด้วยน.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 11, นายอิทธิพล เลาหสุวัฒนกุล ผู้สมัคร ส.ก. เขตห้วยขวาง เบอร์ 4 และทีมไทยสร้างไทย เดินพบปะพี่น้องผู้ค้าและพนักงานออฟฟิศ ซึ่งทีมไทยสร้างไทย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนทั่วไปเข้าทักทายขอจับมือและถ่ายภาพคู่กับคุณหญิงสุดารัตน์ และ น.ต.ศิธา ด้วยความเป็นกันเอง และให้กำลังใจพรรค ทสท. โดยขอให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ขณะที่พ่อค้าแม่ขายบางราย ระบุว่าเลือกแน่นอน เพราะชื่นชอบนโยบายของพรรค ทสท.

น.ต.ศิธา กล่าวว่า ตนประกาศย้ำอีกครั้งว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชาว กทม. หากตนได้รับโอกาสและความไว้วางใจ เรื่องแรกที่จะต้องเร่งแก้ไขคือการฟื้นเศรษฐกิจให้ชาว กทม. โดยเฉพาะคนตัวเล็ก ที่ต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมือง รวมถึงวิกฤติจากโควิด-19 ดังนั้นการดูแลคนตัวเล็กจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งพ่อค้าแม่ขาย วินมอเตอร์ไซค์ ไรเดอร์ แท็กซี่ กลุ่มอาชีพรับจ้างรายวัน แม่บ้าน ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ จะใช้กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่นำร่องขับเคลื่อนนโยบายกองทุนเครดิตประชาชนเพื่อคนตัวเล็ก หรือกองทุนคนตัวเล็ก มอบ “บัตรเครดิตประชาชน” ให้คนตัวเล็กนำไปใช้ในการตั้งตัว เลิกพึ่งพิงหนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยแพงมหาโหด และกองทุนดังกล่าวจะเป็นเครดิตที่มอบให้ติดตัวสามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่เกินร้อยละ 1 ต่อเดือน กู้ได้ตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ค้าขายให้พ่อค้าแม่ค้าได้ค้าขายกันอย่างเต็มที่ตลอด 7 วัน รวมทั้งจัดโซนส่งเสริมการค้าขายตลอด 24 ชั่วโมงในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เช่นพื้นที่ห้วยขวาง เป็นต้น โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ เพื่อไม่ให้กระทบกับการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้นๆ

“ผมจะผลักดัน นโยบาย creative economy ถือเป็น soft power ที่สำคัญในโลกยุคปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมายังขา
ดการสนับสนุน จึงทำให้ประเทศไทยและประชาชนเสียโอกาส ไม่สามารถแข่งขันหรือต่อสู้กับประเทศอื่นได้ เราต้องทำให้กรุงเทพฯและประเทศไทยเอื้อต่อการลงทุน เพื่อการวางรากฐานในระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ รวมถึงนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้มหาศาล โดยไม่ต้องลงทุนในการประชาสัมพันธ์ อย่างเช่นกรณีศิลปินอย่างมิลลิ” น.ต.ศิธา กล่าว.