เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้ลงนามในหนังสือคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง แจ้งแนวทางการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม โดยส่งถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ลงวันที่ 27 ก.ค. 2564 มีสาระสำคัญคือ ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันที่ยังคงระบาดต่อเนื่อง ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยมีโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น ตามจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยส่วนหนึ่งต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ที่เมื่อป่วยด้วยโรคโควิด-19 จะมีความรุนแรงของโรคและมีโอกาสเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มขึ้น มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ เพื่อบริบาลระบบสาธารณสุขของประเทศไทย และเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนโควิด-19 ทุกชนิดที่มีให้บริการในประเทศไทยขณะนี้
ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2564 มีมติให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เป็นเข็มที่ 3 และการให้วัคซีนโควิด-19 แบบสลับชนิด ประกอบกับในการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2564 มีมติเห็นชอบให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติมที่ควรได้รับวัคซีนโควิด-19 และจากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2564 และข้อสั่งการวันที่ 18 ก.ค. 2564 ให้จัดระบบการฉีดวัคซีนสลับชนิดในกลุ่มประชากรกลุ่มเสี่ยงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป โดยฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 และวัคซีนแอสตราเซเนกา เป็นเข็มที่ 2 กรณีจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดในระดับควบคุมสูงสุดและเข้มงวดให้พิจารณาฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาครบทั้ง 2 เข็ม
กรมควบคุมโรค ขอสรุปสาระสำคัญจากมติการประชุมและข้อสั่งการที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ดังนี้ 1.วัคซีนที่จัดสรรในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2564 ขอให้เร่งรัดในกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทที่ 1 กลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค รวมถึง หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ประเภทที่ 2 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยได้รับวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม อย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ประเภทที่ 3 กลุ่มเป้าหมายที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 1 และครบกำหนดนัดรับวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มที่ 2
2.การจัดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ให้ฉีดวัคซีนเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ณ คลินิกรับฝากครรภ์ของสถานพยาบาล หรือจุดให้บริการวัคซีนปกติ (หากมีความจำเป็น) ซึ่งสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ทุกชนิดที่มีให้บริการในประเทศไทยขณะนี้ 3.การให้วัคซีนโควิด-19 สลับชนิดในพื้นที่ ขอให้ถือแนวทาง ดังนี้ 3.1 สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร นครปฐม สงขลา ยะลา ปัตตานีและนราธิวาส แบ่งเป็น 3.1.1 กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ให้รับวัคซีนแอสตราฯ 2 เข็ม โดยฉีดห่างกัน 12 สัปดาห์ ทั้งนี้ สามารถฉีดวัคซีนด้วยชนิดหรือวิธีอื่นใดตามดุลพินิจของแพทย์ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนและปริมาณที่มี 3.1.2 กลุ่มเป้าหมายอื่น อาจให้รับวัคซีนแอสตราฯ 2 เข็มหรือให้รับวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 และวัคซีนแอสตราฯ เป็นเข็มที่ 2 ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีนและปริมาณที่มี 3.2สำหรับจังหวัดอื่น นอกเหนือจากข้อ 3.1 ให้ทุกกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 และวัคซีนแอสตราฯ เป็นเข็มที่ 2 โดยให้ฉีดห่างกัน 3-4 สัปดาห์.