อยู่วงการบันเทิงมา 20 ปี นอกจากการเป็นนางเอกแล้ว วันนี้ เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ยังก้าวสู่อีกหนึ่งบทบาทใหม่กับการเป็นผู้จัดละครครั้งแรกกับช่อง 8 กับ “กระสือลำซิ่ง” พร้อมจัดเต็มทั้ง จัดเอง แสดงเอง วันนี้คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาด ต้องนัดพูดคุยกับสาวเชียร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ รวมทั้งอัพเดทเรื่องหัวใจกับหวานใจนอกวงการอย่าง บิ๊ก-ธนพนธ์ เบญจรงคกุล ว่าใกล้มีข่าวดีหรือยัง

การเป็นผู้จัดละครเรื่องแรก

“สนุกค่ะ ปาดเหงื่อนิดหน่อย แต่เป็นความรับผิดชอบที่โตขึ้น ในฐานะที่เรามาจากอาชีพนักแสดงที่เรารัก “กระสือลำซิ่ง” เลยเป็นจังหวะ และโอกาสเราอยากจะทำ ต้องบอกว่าถ้าฟังแล้ว อาจจะเป็นส่วนผสมที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้ ทั้ง คอนเสิร์ต ซีจี คอมเมดี้ ผี แล้วยังพีเรียดด้วย แต่พอเล่าออกมาเป็นละครยาว ๆ หนึ่งเรื่อง ก็มีเหตุและผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ละครเรื่องนี้ดูแตกต่าง เพราะอย่าง “กระสือ” คนก็จะมีภาพจำที่คนมักจะมีความหวัง แต่พอเราทำเราก็ไม่อยากทำแบบเดิมก็ทำให้ไส้คนมีฟังก์ชันขึ้น มีความเลื้อย ๆ สมัยใหม่ สู้คนได้ เชียร์พยายามใส่รายละเอียดอะไรที่จะทำให้คนดูดูแล้วมีความสุข เพราะด้วยสถานการณ์แบบนี้จะช่วยเติมเต็มและผ่อนคลาย”

นอกจากจะเป็นผู้จัดแล้วยังเล่นเองด้วย?

“ใช่ค่ะ ไม่ใช่ว่าดิฉันงกนะคะ (หัวเราะ) จริง ๆ เรื่องนี้เราอยากจะเป็นแค่เบื้องหลัง แต่ด้วยจังหวะ โอกาสหลาย ๆ อย่างที่มีการเปลี่ยนแปลง และงานต้องดำเนินต่อ สุดท้ายเลยกลายเป็นเราต้องมาเล่นเอง แต่ดีค่ะ ทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ถึก อดทนไปโดยปริยาย ปกติเราเล่นละครอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้วนะ พอต้องมาเจองานเบื้องหลังก็เหนื่อยคูณสิบไปเลย เปรียบเทียบง่าย ๆ เราเป็นนักแสดงก็แค่ถือบทของเราคนเดียว ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แค่รอถ่าย แต่พอเป็นผู้จัดฯ ต้องมานั่งคิดว่าเราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไง จะเอาซีนไหนมาถ่ายได้ก่อน นักแสดงที่อยู่ในเรื่องนี้กับเชียร์ ก็จะบอกเลยว่าเชียร์มีความขี้เล่นน้อยลง แต่ไม่ใช่ว่าจะรอดนะคะ (หัวเราะ) ก็ยังแกล้งคนอื่นอยู่”

พอมาทำงานเบื้องหลังจริง ๆ เหมือนที่เราคิดไว้ไหม?

“จริง ๆ งานผู้จัดเป็นงานที่เชียร์หนีมาตลอด เราเลยเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นความรับผิดชอบตลอดเวลา เลยอยากลองดูสักตั้ง ว่าถ้าชอบก็คงไปต่อ ถ้าไม่ชอบก็กลับไปทำงานเดิม ๆ ของเรา ซึ่งเราได้คำตอบแล้วแหละว่าเราชอบ (ยิ้ม) แต่ไม่รู้คนดูจะชอบไหม แต่พอเปิดตัววันแรกยอดคนดูในออนไลน์ก็พีคมาก ยอดคนดูช่วงลีดไทม์ก็แตะไปถึงล้าน เกินความคาดหมายของเรามาก ชื่นใจ น้ำตาจะไหล เพราะละครช่วงก่อนข่าวช่วงชิงเรตติ้งกันดุเดือดมาก”

รู้มาว่าจริง ๆ เรื่องนี้ตอนแรกวางตัว แตงโม-ภัทรธิดา ไว้ด้วย?

“ใช่ค่ะ ตั้งแต่ตอนที่วางตัวนักแสดง เราก็นึกถึงว่าใครที่จะมีศักยภาพ ซึ่งพี่โมเป็นคนร้องเพลงเพราะ ฝีมือการแสดงดีด้วย และที่สำคัญเลยเราคิดถึง พอจังหวะตัวละครที่มีในเรื่องซึ่งทำให้เรานึกถึงพี่โมจริง ๆ แต่พอเราติดต่อไปในช่วงนั้นพี่เขาปฏิเสธมาไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่กล้าตื๊อ เพราะคิดว่าบางครั้งก็มีบทที่เราไม่อยากเล่น เราก็จะอ้อมแอ้มหน่อย เลยเกรงใจ แต่ก็ขนลุกเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราติดต่อไปแล้วพี่เขาเกิดรับขึ้นมาจริง ๆ นี่ก็จะเป็นฝีมือการแสดงอีกเรื่องที่ได้ชมฝีมือของพี่โม แต่ก็ไม่เป็นไร เรามีภาพจำพี่โมมากมายอยู่แล้ว”

เชียร์ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องแตงโมตลอด เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้?

“เชียร์เชื่อว่าคนคงได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่สะท้อนจากเหตุการณ์นี้ แต่กับตัวเราเองเรารู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้เรามีความกล้าที่จะทำอะไรในเรื่องที่ถูกต้องโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย ทั้งที่เมื่อก่อนเราอาจจะกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ แต่เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าเรากล้ากว่าที่เราคิดอีกนะ นี่คือสิ่งที่เชียร์ค้นพบ แล้วอีกเรื่องหนึ่งพี่โม เป็นคนพูดเองด้วยซ้ำ ว่าคนเราควรจะชื่นชมกันในวันที่เรายังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการบอกรักกัน ทำดีต่อกัน และนึกถึงกันมากขึ้น อย่างเหตุผลหนึ่งที่เชียร์รู้มาว่าพี่เขาปฏิเสธไม่รับละคร เพราะเขาไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งมันผ่านการทำร้ายจิตใจ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดลอย ๆ คำคอมเมนต์ผ่าน ๆ แต่ได้ฝังลึกในความคิดของคน ๆ หนึ่งไปแล้ว”

หลังจากนี้ยังรับงานเบื้องหน้าเหมือนเดิมไหม?

“ต้องยอมรับว่าเราอาจจะลดงานเบื้องหน้าลงไปบ้าง เพราะว่าก็เป็นความตั้งใจแหละ เพราะเราทำงานมาตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่พอเราโตขึ้นเรามีหลายบทบาทแล้ว มีธุรกิจที่ต้องบริหารด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องใช้เวลามาก ๆ อย่างนักแสดง เราอาจจะทำได้ไม่เท่าเดิม จังหวะชีวิตมันพาให้เป็นอย่างนั้น”

นอกจากงานผู้จัดแล้วก็ยังมีธุรกิจอีก?

“เชียร์ว่าเป็นช่วงที่เราชาเลนจ์ตัวเองมาก ๆ เลย ด้วยความที่เราโชคดีกับงานบริหารงานธุรกิจอีกฝั่งหนึ่งด้วย ทำให้เรามีความรอบคอบอะไรบางอย่างในการบริหารงานด้วย ด้วยความที่เราทำละคร ความเป็นศิลปะกับธุรกิจก็ต้องลงตัวมาก ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี”

เป้าหมายในวัย 34 ของเชียร์เป็นยังไงบ้าง?

“สำหรับเชียร์คงเป็นการสร้างความมั่นคงให้เร็วที่สุดค่ะ อันนี้เป็นเป้าหมายส่วนตัวนะ นั่นคือทำไมเราถึงทำทั้งงานบริหาร งานธุรกิจ แต่เราก็ไม่ลืมอาชีพที่เรามีความสุขตั้งแต่ต้นนั่นคือวงการบันเทิง ตลอด 20 ปี อาชีพนี้ได้สร้างอะไรหลาย ๆ อย่าง และหล่อหลอมจนเป็นเชียร์ทุกวันนี้ เราเข้าใจวัฏจักรดีว่าเราเป็นนักแสดงไปไม่ได้ตลอด นั่นเป็นจุดที่ทำให้เชียร์หันมาทำเบื้องหลัง หรืองานผู้จัดฯ เพื่อเป็นการทำอะไรแล้วเรายังมีความสุขอยู่ แต่ก็ต้องหล่อเลี้ยงเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย เลยพยายามทำหลาย ๆ อย่าง และกระจายความเสี่ยง”

นอกจากเรื่องงานจะลงตัวเรื่องความรักก็ลงตัว?

“เรื่อย ๆ ค่ะ เชียร์ชอบอะไรที่ไม่หวือหวาอยู่แล้วค่อย ๆ ดูกันไป เราไม่รีบ แต่ขอความมั่นคง”

ดูเขาเซอร์ไพร้ส์เก่งนะ ทุกวันครบรอบเลย?

“เซอร์ไพร้ส์เก่งหรอ (หัวเราะ) จริง ๆเชียร์เซอร์ไพร้ส์เก่งกว่านะคะ จริง ๆ เชียร์ว่าการให้ความสำคัญกับโอกาสพิเศษบางอย่างจะทำให้เราจำอะไรได้ในปีนั้น ถ้ามีของที่มีเรื่องราวอยู่ในของเหล่านั้น จะถูกจะแพง จะทำให้เราสามารถย้อนความทรงจำได้ แอบมีความมุ้งมิ้งกับเรื่องราวพวกนี้”

ตั้งแต่เชียร์อยู่ในวงการ “บิ๊ก” เป็นแฟนคนแรกเลยนะที่เชียร์เปิดตัว?        

“จริง ๆ เชียร์ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดแล้วที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิด แต่ว่าเราไม่อยากออกมาพูดเองมากกว่า แต่คนนี้ด้วยจังหวะ และโซเชียลฯ ที่ไวกว่าเมื่อก่อนเยอะ คือแค่ไปงานด้วยกันแล้วมีไลฟ์สดคนก็เห็นแล้ว เมื่อก่อนเดินไปเดินมาก็ไม่มีใครเห็น หรือหยิบมือถือมาถ่ายได้ มือถือก็ไม่ค่อยชัด ถ่ายออกมาก็ผิดคนอีก (หัวเราะ) พอทุกวันนี้โอกาสที่จะมีคนเห็นง่ายมาก และไม่มีอะไรที่เราต้องปิดอยู่แล้ว เลยเป็นเรื่องปกติ ที่เราพูดถึงได้ คือที่ผ่านมาเชียร์ก็เคยมีแฟน แต่บางทีคนอาจจะไม่ได้ใส่ใจ หรือจำเราไม่ได้เท่านั้นเอง”

มีแพลนอนาคตร่วมกันบ้างไหม?

“เรื่องคู่เป็นการแพลนร่วมกันแหละ อาจจะเป็นการแพลนเป้าหมายร่วมกันว่าอีกสัก 2 ปี คิดว่างานเราน่าจะนิ่งกันทั้งคู่เนอะ เพราะเขาเองต้องดูงานธุรกิจฝั่งเขาเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ต่อให้เรางานยุ่งกันก็จริง แต่ก็ยังมีเวลาให้กันเสมอแต่โดยส่วนตัวเชียร์ไม่ได้แพลนว่าเราอยากมีลูก เขาไม่ได้คิดจะมีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าไม่มีเลย คือถ้าเราอยากมีเขาก็ยินดี”

เพื่อน ๆ ว่ายังไงบ้างให้ผ่านไหม?

“เพื่อน ๆ บอกว่าโอเคนะคะ เขาเป็นคนมีความใจเย็น และเชียร์มีความฉับ ๆ ทำอะไรไวกว่า เลยบาลานซ์กัน”

ถามไกล ๆ เรื่องที่ไม่อยากมีลูก เพราะสังคมสมัยนี้หรือเปล่า?

“หลายอย่างประกอบกัน ถ้าเรื่องของเหตุผลการใช้ชีวิต เชียร์ว่าการโตจากโลกต่อไปนี้ในข้างหน้าไม่ง่ายแน่นอน ด้วยโรคระบาด เศรษฐกิจ สังคม แล้วดูจากตัวเราเองจะรู้ว่าการมีชีวิตเหนื่อยมาก ต้องดิ้นรน ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่รอดเพื่อการทำมาหากิน หรือเวลามีอะไรที่เป็นทุกข์ เป็นสุข ก็ไม่ง่าย เราเลยกลับมาที่หลักธรรมพุทธ ว่าการเกิดมาเป็นการอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ มีทั้งเวรและกรรมที่ต้องเจอในชีวิต เราเลยรู้สึกว่าไม่มีแล้วกัน เพราะเราคงเป็นห่วงเขา เลยตัดสินใจว่าถ้าไม่มีน่าจะตอบโจทย์กว่า”

สุดท้ายฝากถึงแฟน ๆ หน่อย?

       “ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะคะ จริง ๆ เชียร์มีโอกาสเข้ามาในวงการบันเทิง เป็นนักแสดงก็เกือบ 20 ปีแล้ว แต่เชียร์ยังได้กำลังใจจากแฟน ๆ และมิตรภาพจากแฟนคลับที่สวยงามมาเสมอ วันนี้ไม่ว่าเชียร์จะไปเป็นผู้จัดละคร หรือธุรกิจ ก็ได้แรงซัพพอร์ตที่ดี
เสมอ ก็อยากให้ทุกผลงานที่เชียร์ทำสามารถสร้างรอยยิ้มและความสุขให้ทุกคนกลับไปได้เหมือนกันนะคะ”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / ธัญดนัย : ภาพ