เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมืองทองธานี พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. แถลงจับกุมชาวเวียดนาม 9 ราย ประกอบด้วย MR.PHAM VAN อายุ 40 ปี (หัวหน้า) MR.PHAM NGOC อายุ 37 ปี (รองหัวหน้า) MR.NGUYEN XUAN อายุ 49 ปี MR.NGOC PHAP อายุ 34 ปี MR.NGUYEN NGOC อายุ 41 ปี MR.NGUYEN THANH อายุ 33 ปี MR.TRAN VU อายุ 41 ปี MR.NGOC TU อายุ 35 ปี และ MR.NGUYEN HOU อายุ 40 ปี ทั้งนี้ยังพบอาวุธปืนลูกโม่ ยี่ห้อ SMITH & WESSON ขนาด .22 ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 กระบอก, กระสุนปืน จำนวน 33 นัด, รถยนต์ 2 คัน

สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งมีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน และสัญชาติได้ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวหญิงไทยและหนุ่มไต้หวัน เพื่อให้ยอมชดใช้เงินจำนวนกว่า 1.7 ล้านบาท โดยได้ทำการขู่ฆ่าและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าหญิงไทยที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังคือ น.ส.สุชาดา (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติไทย และ MR.LI สัญชาติไต้หวัน อายุ 21 ปี โดยผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนสัญชาติเวียดนามที่ทำธุรกิจในประเทศไทย และทำการซื้อขายเงินดิจิตอลกับบุคคลอื่น โดยจะต้องมีคนกลางแนะนำและพาเข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 41 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเฝ้าดูที่บ้านหลังดังกล่าวพบว่ามีลักษณะพิรุธและสังเกตเห็นคนต่างด้าวลักษณะคล้ายชาวเวียดนามอยู่ในบ้านหลายคน และยังพบรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า สีแดง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นป้ายทะเบียนปลอม ได้ขับออกจากบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสะกดรอยตามไปจนถึงโกดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี และเฝ้าดูที่บริเวณโกดังดังกล่าว

กระทั่งช่วงเวลาดึกของคืนวันเดียวกันได้พบรถยนต์คันดังกล่าวขับออกมาจากโกดัง และมุ่งหน้ากลับมาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 หลังเดิม โดยมีการนำผู้หญิงและผู้ชายเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่าบุคคลทั้งสองคือบุคคลที่เป็นคนที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังตามที่ได้รับข้อมูล เมื่อประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันที่ประจำประเทศไทยรับ ก็ทราบว่าทางบิดาของ MR.LI ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจจงพิง เมืองนิวไทเป ว่า MR.LI ได้โทรศัพท์มาหาขอให้โอนเงินไปให้ โดยได้แจ้งว่าถูกกักขังและถูกทำร้ายและจะถูกฆ่า เจ้าหน้าที่ กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบ น.ส.สุชาดา และ MR.LI ถูกควบคุมกักขังอยู่ในห้องภายในบ้านและพบกลุ่มร้ายจึงได้เข้าควบคุม

จากการสอบถาม น.ส.สุชาดา และ MR.LI ให้การว่า เป็นแฟนกัน โดย MR.LI ได้เดินทางมาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 โดยมีนายหน้าคนไทยไม่ทราบชื่อได้พามาเนื่องจาก MR.LI ต้องการซื้อเหรียญ usdt จำนวน 50,000 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,700,000 บาท และหลังจากที่เข้ามาแล้วได้พบกับ MR.PHAM NGOC ซึ่งได้มีการตกลงพูดคุยเรื่องราคา และตกลงทำการซื้อขายกัน หลังจากที่ MR.PHAM NGOC ได้โอนเหรียญ usdt จำนวน 50,000 ไปยังกระเป๋ารับเงินตามที่ MR.LI แจ้งนั้นปรากฏว่า MR.LI ไม่ได้โอนเงินไทยให้ เนื่องจาก MR.LI เป็นเพียงคนกลางของบุคคลที่ชื่ออาตง ซึ่งได้พยายามติดต่อกับอาตงแต่ปรากฏว่าหลังจากที่อาตงได้รับเหรียญไปแล้ว ได้ตัดสายและไม่สามารถติดต่อได้อีก

หลังจากนั้นทางกลุ่มผู้ต้องหาสัญชาติเวียดนามได้จับขังไว้ และข่มขู่เพื่อให้หาเงินมาชดใช้ให้ได้ไม่งั้นจะฆ่าทิ้ง ซึ่งเวลาผ่านไปก็ยังไม่สามารถนำเงินมาชดใช้ได้ ซึ่งทาง MR.LI ได้โอนเหรียญ usdt คืนแค่ 990 เหรียญเท่านั้น กลุ่มผู้ต้องหาจึงได้เริ่มทำร้ายร่างกาย MR.LI และข่มขู่ จากนั้นได้พาขึ้นรถไปที่โกดังในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้ กระบองเหล็กทุบตี ใช้เชือกรัดคอ ขู่จะกรรไกรตัดกิ่งไม้มาตัดนิ้วของ MR.LI ใช้อาวุธปืนตบหัวจ่อศีรษะและขู่ว่าถ้ายังหาเงินไม่ได้จะฆ่าและฝั่งศพไว้ที่นี้ ก่อนจะนำตัวกลับมาขังที่บ้านจนกระทั่งได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาทำการช่วยเหลือไว้ได้ดังกล่าว

พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของชาวเวียดนาม 9 คน พบว่า 1 ใน 9 อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนด ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ทั้งนี้จากการตรงจสอบ การเดินทางเข้าออกประเทศของ ผู้ต้องหาทั้ง 9 คนทราบว่า มีการเข้าออกประเทศหลายครั้งซึ่งจากการสอบถามทราบว่า ได้เข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับการปลูกกัญชา อยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และยังไม่พบว่าเคยก่อเหตุที่ได้มาก่อน ในส่วนของผู้เสียหายเองจากการตรวจสอบของการเจ้าหน้าที่พบว่ามีการอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดด้วยเช่นกันรวมถึงจากการตรวจประวัติยังพบว่ามีหมายจับในคดีทำร้ายร่างกายที่ประเทศไต้หวันด้วย ส่วนนี้ก็ต้องแยกเป็นสองส่วนส่วนที่เป็นผู้เสียหายและส่วนที่เป็นผู้ต้องหา ก็ต้องดำเนินคดีเช่นกัน

เบื้องต้นทาง สตม. ได้มีการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ร่วมก่อเหตุทั้ง 9 ราย และได้ตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป