เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ปรึกษาฯ ทั้ง 5 คนที่ตอบรับมาเป็นที่ปรึกษา พร้อมกับรับฟังข้อเสนอแนะทุกอย่าง โดยขอให้นำเสนอความเห็นตรงไปตรงมา ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพื่อให้รับข้อมูลที่รอบด้าน ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาฯ จะให้คำเสนอแนะไม่จำกัดเฉพาะด้านที่เชี่ยวชาญ แต่จะขับเคลื่อนเรื่องที่ถนัดเป็นพิเศษ โดยนายธงทอง จันทรางศุ สนใจการปฏิรูประบบราชการให้ง่ายต่อการรับใช้ประชาชน ขณะที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ก็จะช่วยดูกฎหมายต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการขับเคลื่อนระบบราชการ ส่วนนายศุภวุฒิ สายเชื้อ มีความถนัดด้านเศรษฐกิจ สนใจนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจ ส่วนตนซึ่งเคยทำงานเชิงสาธารณสุข และซอฟต์พาวเวอร์ ก็สนใจทำเรื่องเหล่านี้จริงจัง สำหรับนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ มีประสบการณ์การเมืองมาก เสนอแนะนโยบายหลายนายกฯ มีความเชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์โลก การต่างประเทศ ส่งเสริมเอสเอ็มอี ซึ่งท่านจะมองเห็นภาพรวมทั้งหมดในการทำงานขับเคลื่อนกับที่ปรึกษาคนอื่นๆ

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ปรึกษาทั้ง 5 คน ยังเน้นเรื่องการรวมความรู้จากภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้น หลังจากนี้ บ้านพิษณุโลกจะใช้เป็นสถานที่เชิญผู้รับผิดชอบทั้งภาคราชการ ภาคเอกชนมาประชุมหารือกัน เพื่อนำเสนอแนวคิดกำหนดเป็นนโยบายต่อไป นอกจากนี้ เราคิดว่าวันนี้เราจะไม่คิดเพียงว่าจะทำอะไร แต่เราคิดด้วยว่าจะทำอย่างไร เราต้องมีแผนชัดเจนสามารถขับเคลื่อนองคาพยพทั้งระบบราชการ ระบบเศรษฐกิจได้ การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อส่งผลลัพธ์ในอนาคต จึงกำหนดว่าควรประชุมต่อเนื่องโดยนายกฯ จะประชุมด้วยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง คือทุกวันพฤหัสบดี เพื่อพูดคุยถึงนโยบายที่น่าสนใจอย่างตรงไปตรงมา และเกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน

นพ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า คณะที่ปรึกษายังได้บอกเบื้องต้นว่า สิ่งสำคัญคือการออกมาตรการเศรษฐกิจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมซึ่งมีแนวคิดเบื้องต้นแล้ว หาก ครม.ได้รับทราบ เชื่อว่าจะตัดสินใจได้เร็ว ผู้ได้รับผลกระทบจะได้รับประโยชน์เร็วมาก มาตรการแก้หนี้ที่ได้ผล ไม่ได้มองเพียงการสนับสนุนเรื่องเงินอย่างเดียว แต่ต้อต่องเป็นมาตรการสร้างรายได้ มีแนวทางเบื้องต้นแล้ว ซึ่งต้องรอนำเสนอนายกฯ ก่อน และเรื่องการทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีไทยส่งออกต่างประเทศได้จริงจัง เรามีมาตรการบางอย่างที่เราคิดว่าเป็นจิ๊กซอว์ตัวที่หายไปก็จะมีการนำเสนอนายกฯ ต่อไป

เมื่อถามว่า อำนาจหน้าที่ของคณะที่ปรึกษามีผลแค่ไหนนั้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ทางที่ปรึกษาจะมีการพูดคุย ซึ่งนายกฯ พร้อมรับฟัง แต่ต้องไปทำร่วมกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทุกวันนี้ความซับซ้อนของระบบราชการทำให้ไม่ง่าย แต่แนวทางที่เสนอนายกฯ ก็ต้องไปดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะที่ปรึกษาสามารถเชิญหน่วยงานรัฐมาประชุมได้ ขอเอกสารมาดูได้ด้วย ส่วนภาคเอกชนเชื่อว่าเขาก็พร้อมมาเสนอแนะปัญหา จึงเชื่อว่าบ้านพิษณุโลกต่อไปนี้จะมีการประชุมเรื่องต่างๆ อีกมาก ต่อข้อถามว่าเรื่องค่าเงินบาทเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาพูดคุย นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ธปท.ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็อาจมีการพูดคุยกัน แต่คงไม่ได้เชิญมาแบบเป็นทางการ

เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาการเมือง กฎหมายกระบวนการยุติธรรม ความขัดแย้ง จะมีการนำเสนอด้วยหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นนายพงศ์เทพมีความเชี่ยวชาญกฎหมาย เป็นอดีตสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ดังนั้น การมองภาพระบบนิติรัฐ นิติธรรม ท่านก็ให้ความสนใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะที่ปรึกษาฯ ทุกคนเป็นวัยเก๋า แต่โลกเปลี่ยนไป จะทำให้คนรุ่นใหม่ไว้วางใจได้อย่างไร นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า นายพันศักดิ์ อายุ 80 ปี นายธงทอง อายุ 70 ปี ส่วนคนที่เหลือมีอายุ 60 กว่าปี แต่เท่าที่ได้พูดคุย ทุกท่านมีประสบการณ์มาก และยังเรียนรู้ไม่หยุดในทุกๆ ด้าน เชื่อว่าทั้ง 5 คน ไม่มีตกสมัย แต่เราไม่ได้ทำงานกัน 5 คน จะมีการตั้งอนุกรรมการมาดูรายละเอียดแต่ละเรื่องด้วย เราเป็นสารตั้งต้นนำเสนอนโยบายแก้ปัญหาของประเทศครั้งใหญ่

เมื่อถามว่า จะวัดผลงานคณะที่ปรึกษาชุดนี้อย่างไร นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีการกำหนดเคพีไอ แต่ที่ปรึกษาทุกคนไฟแรงมากพร้อมเริ่มงานเต็มที่ นายธงทองเตรียมขอตัวข้าราชการบางส่วนมาช่วยงาน ตนก็มีในใจแล้ว ผลงานคงวัดจากงานภาพใหญ่ของประเทศมากกว่า หากเปรียบกับสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ ภาพใหญ่คือเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ซึ่งเรื่องนั้นใหญ่มาก ดังนั้น นายกฯ ก็บอกว่าในระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 2 ปีกว่า สิ่งที่อยากเห็นคนไทยจะต้องพ้นความยากจน ประเทศสามารถหลุดพ้นปัญหาเศรษฐกิจ นำไปสู่ทิศทางที่ชัดเจนในการสร้างเศรษฐกิจกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง