สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ว่าสืบเนื่องจากเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปที่บ้านพักของประธานาธิบดีโฌเวเนล โมอิส ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา แล้ว "ก่อเหตุป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม" กับผู้นำเฮติ วัย 53 ปี ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมในเวลาต่อมา ด้วยอาการบาดเจ็บจากบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งเป็นผลจากกระสุนปืน ส่วนนางมาร์ทีน โมอิส ภริยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติของเฮติออกแถลงการณ์ เมื่อวันพุธ ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงวิสามัญ "ทหารรับจ้าง" อย่างน้อย 4 ราย และจับกุมได้ 2 คน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับสัญชาติและสังกัดของกลุ่มผู้ต้องสงสัยทั้งหมด โดยให้ข้อมูลในเวลานี้เพียงว่า เจ้าหน้าที่สกัดจับกลุ่มคนร้ายซึ่งกำลังอยู่ในเส้นทางหลบหนี จึงเกิดการต่อสู้กัน
ขณะที่นายโคลด โจเซฟ รักษาการนายกรัฐมนตรีของเฮติ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยยืนยันว่า กองทัพและตำรวจร่วมมือกันอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านความมั่นคงของบ้านเมือง และยืนยันว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะยังคงเกิดขึ้นตามกำหนดการ คือช่วงปลายปีนี้ พร้อมทั้งเรียกร้อง "ความร่วมมือและความปรองดอง" จากฝ่ายค้านและกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง
บรรยากาศหน้าบ้านพักของประธานาธิบดีโฌเวเนล โมอิส ในกรุงปอร์โตแปรงซ์
ทั้งนี้ โจเซฟซึ่งตอนนี้ถือเป็นรักษาการผู้นำเฮติไปโดยปริยาย กล่าวด้วยว่า กลุ่มมือสังหาร "พูดภาษาอังกฤษและภาษาสเปน" แต่ภาษาราชการของเฮติ คือภาษาเฮติและภาษาฝรั่งเศส ส่วนอาการของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง "ทรงตัว" ซึ่งรัฐบาลเฮติได้รับการอำนวยความสะดวก ในการส่งตัวนางมาร์ทีน โมอิส ไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในรัฐฟลอริดาของสหรัฐแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง นายบอกชิต เอดมอนด์ เอกอัครราชทูตเฮติประจำกรุงวอชิงตัน เปิดเผยว่า การลอบสังหารโมอิส "มีการวางแผนเตรียมการล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี" และกลุ่มคนร้าย "มีความเป็นมืออาชีพในระดับสูง" โดยแต่งกายด้วยเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ ( ดีอีเอ ) จึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าประตู จึงอนุญาตให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าสู่ภายในพื้นที่
เจ้าหน้าที่ของเฮติและสหรัฐ นำนางมาร์ทีน โมอิส สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเฮติ เข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ ประณามการลอบสังหารโมอิส พร้อมทั้งให้คำมั่นประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเฮติ แต่กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในเฮติ “น่าวิตกกังวลอย่างมาก”


อนึ่ง โมอิสซึ่งเป็นอดีตนักธุรกิจ ขึ้นสู่อำนาจผู้นำเฮติ จากการเลือกตั้ง เมื่อปี 2560 และเผชิญกับการประท้วงขับไล่อย่างหนัก ตั้งแต่ปีที่แล้ว จากข้อครหาหลายเรื่อง.

เครดิตภาพ : REUTERS, AP