แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นถึงการเป็นจอมคัมแบ๊กอีกครั้ง หลังพลิกจากที่ตกเป็นรองก่อน 0-1 กลับมาแซงชนะ บียาร์รีล โจทก์เก่าจากสเปน ลงได้หวุดหวิด 2-1 ในช่วงทดเจ็บของเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดล่าสุด

            3 คะแนนจากเกมนี้ช่วยให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา และลูกทีมหายใจสะดวกขึ้นเยอะเพราะขืนเสมอ หรือ แพ้คาบ้านหลังจากที่บุกไปแพ้ ยัง บอยส์ มาในเกมแรก พวกเขาก็จะตกที่นั่งลำบากทันทีสำหรับการลุ้นผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์

            เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำท่าจะมาดีเมื่อเป็นฝ่ายโขยกเข้าใส่ทีมเยือนก่อนในช่วงแรกก่อนจะค่อย ๆ แผ่วไปเองจนเกือบจะโดน “เรือดำน้ำเหลือง” สอยตาข่ายหลายต่อหลายครั้ง

งานนี้ต้องขอบคุณ ดาบิด เด เคอา ที่โชว์ซูเปอร์เซฟไปอย่างน้อย 2 ครั้งจากลูกปั่นมุมแคบของ อาร์เนาต์ ดานยูมา และลูกโหม่งจ่อๆ ของ ปาโก อัลกาเซร์

            แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องเปลี่ยนผู้เล่นถึง 3 ตำแหน่งจากการได้รับบาดเจ็บของ แฮร์รี แม็กไกวร์ กับ ลุค ชอว์ และการติดโทษแบนของ อารอน วาน-บิสซากา มีปัญหาอย่างชัดเจน

            ทางฝั่งขวา ดีโอโก ดาโลต์ เอา ดานยูมา ไม่อยู่จนเกือบจะทำให้ทีมต้องเสียประตูอย่างน้อย 3 ครั้งเช่นเดียวกับ อเล็กซ์ เตลลิส ที่มีปัญหาไม่น้อยในการรับมือกับ เยเรมี ปิโน ปีกขวาของผู้มาเยือน

            ทว่าจะให้โทษแค่ ดาโลต์ กับ เตลลิส ก็คงไม่ถูกนักเพราะมิดฟิลด์คู่กลางอย่าง ปอล ป็อกบา และสกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รวมทั้งตัวริมเส้นอย่าง เมสัน กรีนวูด และเจดอน ซานโช ก็บกพร่องในการเล่นเกมรับไม่ต่างกัน โดยปล่อยให้นักเตะบียาร์รีลมีเวลาเล่นกับบอลชนิดเหลือเฟือโดยไม่คิดจะบีบเข้าไปหาแม้แต่น้อย

            ครึ่งหลังเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเนือยเหมือนเดิม และก็โดน เยลโล ซับมารีน เจาะตาข่ายสมใจนึกจากจังหวะที่ ดานยูมา ดีดให้ อัลกาเซร์ ชาร์จจ่อ ๆ เข้าไป

            อย่างไรก็ตาม ประตูของ บียาร์รีล ดูเหมือนจะไปช่วยปลุกให้นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ตื่นจากภวังค์ และช่วยกันวิ่งไล่บอลมากขึ้นจนรูปเกมเริ่มพลิกกลับมาเหนือกว่า ก่อนจะได้ประตูตีเสมอจากจังหวะที่ แฟร์นันด์ส เปิดฟรีคิกให้ เตลลิส วอลเลย์เข้าไปอย่างหมดจดงดงาม ซึ่งเชื่อว่า ทั้งคู่น่าจะซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี

            หลังจากนั้นต้องชมการปรับหมากของ โซลชา ที่ตัดสินใจส่ง เนมานยา มาติช และเอดินสัน คาวานี ลงมาแทน ป็อกบา และซานโช ที่ทำผลงานได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะชายป็อกที่เล่นเหมือนลืมพกหัวใจลงสนาม และเหมือนจะลงมาโชว์ผมทรงใหม่เท่านั้น

            การลงสนามของ คาวานี ทำให้ บียาร์รีล ขึ้นเกมจากแดนหลังได้ไม่ถนัดเหมือนเดิมเพราะ เอล มาทาดอร์ ขยันวิ่งไล่ทุกจังหวะ จนทำให้ทั้ง เคโรนิโม รุลลี และแนวรับของแชมป์ ยูโรปา ลีก ต้องเร่งออกบอลจนขาดความแม่นยำไปพอสมควร

            ช่วงท้ายเกม โซลชา ตัดสินใจปรับทัพอีกรอบคราวนี้ส่ง เฟร็ด ลงมายืนเป็นแบ๊กซ้ายแทน เตลลิส ที่เริ่มหมดแรง และส่ง เจสซี ลินการ์ด ลงมาขึ้นเกมฝั่งซ้ายแทน เมสัน กรีนวูด ซึ่งทั้ง 2 คนก็กลายเป็นไพ่เด็ดที่ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัยในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+5

เริ่มจาก เฟร็ด ที่เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้าไปให้ โรนัลโด โขกตั้งให้ ลินการ์ด ก่อนที่ “เจลิงซ์” จะสะกิดคืนไปให้ “ซีอาร์ 7” ที่ฉีกตัวไปรอรับบอลอยู่ริมกรอบ 6 หลา และตะบันมุมแคบผ่านมือของ รุลลี เข้าไปตุงตาข่ายชนิดดราม่าสุด ๆ

การลงสนามในเกมนี้ทำให้ โรนัลโด สร้างสถิติใหม่ให้ แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการลงสนามมากที่สุดถึง 178 นัดแซงหน้า อิเกร์ กาซิยาส อดีตเพื่อนร่วมทีม รีล มาดริด ที่ลงเล่นไป 177 นัดได้สำเร็จ นอกจากนี้ หัวหอกวัย 36 ปี ยังครองสถิติยิงประตูให้ UCL มากที่สุดถึง 136 ตุงอีกด้วย

แน่นอนว่า ชัยชนะนัดนี้ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เรียกความมั่นใจกลับมาได้อักโขก่อนเปิดบ้านรับมือ เอฟเวอร์ตัน ในศึกพรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้ และก่อนเผชิญกับโปรแกรมหฤโหด หลังเบรกทีมชาติที่มีทั้ง อตาลันตา, เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และแมนเชสเตอร์ ซิตี ยืนกวักมือรออยู่ตลอดเดือนต.ค.ต่อต้นพ.ย.

กระนั้นปัญหาอย่างหนึ่งที่ โซลชา จะต้องเร่งหาทางแก้ไขเป็นการด่วนก็คือทัศนคติในการเล่นของลูกทีมที่ค่อนข้างเฉื่อยชา และขาดความมุ่งมั่นโดยเฉพาะในช่วงต้นเกม

ครั้งนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะโชคดีที่นอกจากจะรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชแล้ว ยังคัมแบ๊กกลับมาเก็บ 3 คะแนนได้อีกต่างหาก แต่เป็นไปไม่ได้ที่เทพีแห่งโชคจะยืนอยู่ฝั่งพวกเขาทุกครั้งในสมรภูมิที่อุดมไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรดอย่าง พรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่คุณไม่มีทางจะคว้าชัยชนะได้เลยหากไม่ทุ่มเทชนิดเกิน 100 ร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกครั้งที่ก้าวลงสู่สังเวียนหญ้า…

แท ยอน