ขณะที่เขียนบทความนี้เป็นวั
นอาทิตย์ที่ 3 ม.ค. ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่
งพรวดๆ ไปถึง 300 กว่าคน เรียกได้ว่าขนหัวลุกอยู่ จะเรียกระบาดใหม่ ระบาดซ้ำ ระบาดระลอกสอง ระบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็แล้วแต่
ประดิษฐ์วาทกรรมกันไปเถอะ แต่ผลมันคือเหมือนโดนปิดเมือง และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงั
กงันเพราะคนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
กัน แล้ววันจันทร์ที่ 4 ม.ค.ก็จะมีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่อีก ซึ่งไม่รู้มาตรการอะไรออกมาอี
กหลังจากประกาศ 28 จังหวัดพื้นที่สีแดง
แค่มาตรการใน
กทม.ก็กระทบเศรษฐกิจหนักมาก อย่าลืมว่า กทม.เป็นเมืองที่ขับเคลื่
อนเศรษฐกิจและจ่ายภาษีสูงที่สุ
ดในประเทศ สิ่งหนึ่งที่น่าพูดถึงคื
อผลกระทบต่อธุรกิจภาคกลางคืน หรือธุรกิจบริการสถานบันเทิง ซึ่งเคยเป็นธุรกิจที่ทำเงิ
นมหาศาลในช่วงก่อนโควิดแพร่
ระบาด เป็นธุรกิจที่น่าสงสารที่สุ
ดเพราะเหตุการณ์ซ้ำรอยอีหรอบเดิ
ม คืออยู่ๆ ก็ประกาศวันที่ 1 ม.ค.ให้มีผลวันที่ 2 ม.ค. ตอนโควิดรอบแรกที่สั่ง 17 มี.ค.ก็ให้มีผลทันที 18 มี.ค.เช่นกัน
ธุรกิจภาคกลางคื
นของประเทศไทยเป็นภาคธุรกิจที่“
ขึ้นชื่อ”ในระดับโลก ถ้าเราไม่ปิดตาว่าบ้านเราเป็
นเมืองพุทธ จะพบว่านักท่องเที่
ยวมองประเทศไทยเป็นดินแดนที่ hang out (แปลว่าเที่ยวสนุก) ได้สะใจที่สุดเมืองหนึ่งของโลก เพราะความพร้อมในการบริการชนิ
ดที่อยากหาความสนุกอย่างไหนในธุ
รกิจบันเทิงของไทยก็หาได้ ที่สำคัญธุรกิจภาคกลางคืนไทยเป็
นธุรกิจที่เป็น pink business คือมีความเป็นมิตรกับกลุ่
มหลากหลายทางเพศสูง
เรารับนักท่องเที่ยวมากมายในช่
วงก่อนโควิด หลายคนมาชมธรรมชาติในไทย แต่กลางคืนก็ hang out กันสนุกสนาน อย่างเกาะที่ว่าจะไปชมธรรมชาติ
เช่นสมุย พะงัน เสม็ด (หรือที่เรียกกันว่าเกาะเก้งพิ
สดาร เพราะขึ้นชื่อในหมู่เกย์มาก) ก็มีที่ให้ hang out ตอนกลางคืน หรือสงกรานต์นี่ ที่สีลมน่าจะเรียกได้ว่าปาระเบิ
ดเข้าไปในถนนเกย์ตายครึ่งเอเชีย แต่พอเกิดเหตุที่ต้องล็อคดาวน์ คนในธุรกิจบริการเป็นกลุ่มที่น่
าสงสารที่สุด
น่าสงสารเพราะมันไม่มี
มาตรการอะไรที่จะเตรียมออกมาช่
วยเหลือเขาก่อนจะสั่งปิด ประกาศปิดแล้วแนวๆ ให้เอาตัวรอดไปก่อนแล้วเดี๋ยวรั
ฐบาลพิจารณาให้เองว่าจะช่วยยั
งไง คนทำงานในภาคธุรกิจบันเทิง ท่องเที่ยวนี้มีเป็นล้าน เที่ยวนี้รัฐบาลไม่มีท่าทีว่า
“จะมีการชดเชยห้าพันบาทสามเดือน” เหมือนเดิมอีก เพราะเงินกู้ก็
เอาไปลงในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิ
จประเภทเราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่งอะไรต่อมิ
อะไรไปเยอะแล้ว
ตรงนี้ก็อยากเรียกร้องให้รั
ฐบาลเปิดเผยเรื่องการเงินการคลั
ง ขอละเอียดๆ ไม่ใช่แค่คำว่า
“เอาอยู่” บอกมาให้ชัดว่า ถ้าจะปิดสถานบริการ สถานประกอบการยาวนานนี่ เที่ยวนี้จะยังมีการจ่ายเงิ
นชดเชยอีกหรือไม่ การเริ่มปิดตั้งแต่ 2 ม.ค.นั้น ยังไม่รู้ว่าจะยาวนานไปถึ
งไหนเพราะขนาดระบาดเที่ยวที่แล้
วแค่วันละร้อยคนไม่กี่วันก็ปิ
ดเมืองไปสามสี่เดือน มันทำให้คนไม่มีรายได้ แล้วสถานประกอบการ สถานบันเทิงหลายแห่งก็ไม่ใช่
สายป่านยาว
ยกตัวอย่
างบางสถานประกอบการแถวสีลมนี่ เขาต้องเช่าที่ต่อสัญญาเที่ยวละ 6 เดือน แค่บอกว่าย่านสีลมก็เข็ดฟันแล้
วว่าค่าเช่าที่มันต้องแพงแน่นอน ตัวผู้ประกอบการเองในช่
วงไตรมาสสามและสี่ของปี 63 ก็ไม่ได้มีรายได้เป็นกอบเป็
นกำนักเพราะภาคท่องเที่
ยวของไทยก็ขึ้นอยู่กับต่างชาติ
เป็นส่วนใหญ่ที่มาใช้เงิน ถ้าต้องเลี้ยงดูพนักงานเห็นที
จะไม่ไหว อย่างเก่งก็จ่ายชดเชยให้แล้วให้
ออกไปก่อน รอกลับมาสมัครงานใหม่ หรือไม่ก็กัดฟันจ่ายเงินเดื
อนครึ่งเดือน
เราคงจะได้เห็
นภาพคนทำงานสถานบริการ สถานประกอบการ ตกงานกันเป็นแถวอีก แล้วถ้าเกิดมีภาวะล็อคดาวน์เมื
องไม่ให้คนเหล่านี้กลับภูมิ
ลำเนาไปใช้ชีวิตอีก คราวนี้เขาก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่
างไร อีกทั้งหลายๆ คนเองก็คือคนที่ไม่ได้มีต้นทุ
นในการประกอบอาชีพในต่างจังหวัด ( อย่างที่เรารู้กันว่
าประเทศไทยความเหลื่อมล้ำมั
นเยอะ ทรัพยากรพวกที่ดินอะไรนี่นายทุ
นถือไปตั้งเท่าไร ชาวบ้านมีที่กระแบะมือเดียว ) แล้วเขาอยู่ กทม.จะทำอะไร
ภาคร้านอาหารก็ตุ้มๆ ต่อม ๆ ว่า คำสั่ง ศบค.จะมีผลกระทบให้ห้ามนั่งรั
บประทานในร้านอีกหรือไม่ เพราะถ้าเป็นไปอีก ลูกจ้างส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่
เสิร์ฟ ล้างจาน ก็กลายเป็นภาระที่ไม่จำเป็น และอาจต้องเลย์ออฟคน การบริโภคในร้านอาหารลดลง การสั่งซื้อวัตถุดิบก็ลดลงตามกั
นเป็นลูกโซ่ ขนาดที่สมาคมภัตตาคารออกมาขอร้
องให้ ศบค.ทบทวนเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ภาคธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะพวกบุฟเฟต์ขาดทุนนั
บแสนล้านบาท
ภาพเก่าๆ เมื่อคราวปิดเมืองเดือน มี.ค.เตรียมจะย้อนกลับมาแบบเร็
วกว่าที่คิด เรื่องเชื้อโรคก็มีข่าวไม่ค่
อยดีที่ทำให้เราต้องระวังตัวหนั
กไปอีก ว่ากันว่า สายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดเร็วจากอั
งกฤษก็มีโอกาสเข้าไทย แถมไม่รู้ว่าวัคซีนที่คิดค้นกั
นหลายประเทศจะได้ผลกับเชื้
อกลายพันธุ์หรือเปล่า หรือกระทั่งเชื้อปัจจุบันนี่ ก็ว่าการทดลองวัคซีนมันยังไม่
เสถียรมาก แต่มีความจำเป็นต้องใช้ไปก่อนก็
ต้องใช้ ผลเป็นไงค่อยพัฒนาต่อไปอีก
หลายคนเขาก็พยายามจะบอกว่า มันทำให้เศรษฐกิจชะงัก ทำไมเราไม่อยู่กับเชื้อให้ได้ คือรักษาความสะอาด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้
านทุกครั้ง และยังบอกอีกว่า ความจริงโรคนี้เป็นแล้วมี
โอกาสที่จะไม่แสดงอาการหรื
อหายเองได้ด้วยซ้ำ หรือรักษาก็หาย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่
อยากให้ประมาท เพราะคนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนติ
ดไปก็เสียชีวิต และกลายเป็นความสูญเสียในระดั
บครอบครัว หรือยิ่งสูญเสียมากถ้าคนตายเป็
นคนสำคัญ
มันอาจเรียกได้ว่าเป็นการ
“ชั่งน้ำหนักทางจริยธรรม” ที่ปล่อยคนแข็งแรงดูแลตัวเองได้ จัดการกับชีวิตตัวเองแม้จะเสี่
ยง ขณะเดียวกันมันก็มีคนที่ร่
างกายอ่อนแอ หรือคนที่เข้าไม่ถึงสาธารณู
ปโภคพื้นฐานในการป้องกันตัวอย่
างเจลล้างมือ หรือหน้ากากอนามัยก็ยังมีอีก แล้วคนแข็งแรงก็ติดได้อย่างที่
ระบาดคราวที่แล้ว ค่ารักษาพยาบาลต่อหัวก็ได้ข่
าวว่าแพงหลักแสน ก็คงพูดได้เพียงว่า “ทำอย่างไรก็ได้ให้รัฐบาลคุมเชื้
อให้ได้เร็วที่สุด เพราะมันมีผลกระทบจริงๆ”
และที่สำคัญ คลัสเตอร์การระบาดใหม่ครั้งนี้
มาจากบ่อน ยุคนี้ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ควรจะบอกลูกน้องเลิกหลั
บหูหลับตาเรื่องบ่อนได้แล้ว ความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คนมั
นทำให้ประเทศฉิบหาย ตรวจจับแล้วไม่ใช่แค่เด้ง 5 เสือ สน. สภ. (ประกอบด้วย ผกก. , รอง ผกก.สส., รอง ผกก.ป., สวป., สว.สส.) ที่คนไม่รู้ว่า เด้งแล้วเป็นไง เอาไปแขวนไว้รอจังหวะเวลาดีๆ ก็กลับมาอีก ขนาดตอนระบาดรอบแรกจากสนามมวยก็
ไม่เห็นความรับผิดชอบอะไร
กลับมาถึงคำถามที่ว่า เราจะอยู่กันอย่างไรในช่วงโควิ
ดกลับมาระบาดรอบนี้ ก็สรุปได้ว่า เศรษฐกิจมีโอกาสพังอีกรอบ คราวนี้นอกจากระวังตัวเรื่องสุ
ขภาพ ก็ต้องระวังตัวเรื่องค่าใช้จ่าย ติดตามข่าวสารให้ดีว่า รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือเยี
ยวยาอย่างไรกับธุรกิจที่ปิ
ดไปเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา และต้องติดตามมาตรการแบบรายวั
นเพราะเห็นจากการระบาดสองครั้
งก็รู้แล้วว่าออกมาแบบสายฟ้าแล่
บ และเราก็ต้องจับตาการเร่งหาวั
คซีนของรัฐ
ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้อะไรๆ มันดีขึ้นเร็วๆ ทำได้เท่านี้.
.....................................
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย "บุหงาตันหยง"