ในอารมณ์ที่สารพัดหัวเชื้อรอวันปะทุ ทั้งประเด็นการเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลเหมือนเพิ่มฟืนเข้ากองไฟให้ลุกโชนหนักขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นสิ่งเร้าคนเกลียดรัฐบาลมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น จนเกิดปรากฏการณ์
“ม็อบชนม็อบ” อย่าง
“ม็อบชู 3 นิ้ว-ม็อบอนุรักษนิยม” ประจันหน้ากัน จนหวิดปะทะ ลงไม้ลงมือในหลายต่อหลายครั้ง
กระแสม็อบเบ่งบานความแตกแยกถูกพัฒนา ยกระดับจากแบ่งสี แบ่งขั้วมาเป็นขัดแย้งทางความคิดระหว่าง
เจเนอเรชั่นคนรุ่นใหม่ กับ
คนรุ่นเก่า อย่าง “สายอนุรักษนิยม” ช่วงหลังดูฮึกเหิมระดมพลังคนเสื้อเหลือง แฝงออพชั่นคุ้มกัน
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
แต่อีกนัยการจัดม็อบชนม็อบ จัดประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน ถือเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองอย่างหนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาล ตามโมเดลเก่าๆ
“ม็อบเสื้อเหลือง” และ
“ม็อบเสื้อแดง” ในอดีตที่ต่างออกมาชุมนุมขับไล่อดีตนายกฯ หาเรื่องกันไม่เว้นแต่ละวัน จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดมีผู้บาดเจ็บ
ฟาก
“ผู้นำประเทศ” นั่งกุมขมับวันละหลายตลบ ออกมาปรามทันที ว่า
“การเผชิญหน้า กระทบกระทั่งกันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา เพราะต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นได้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์และไม่ละเมิดกฎหมาย รัฐบาลไม่ได้เข้าข้างใคร เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน”
ขณะที่
“ตัวจี๊ด” อย่าง
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ไม่แสดงความกังวลถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมระบุว่า “ม็อบชนม็อบไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ผมเชื่อในวุฒิภาวะของแกนนำราษฎรว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง สามารถจัดการการชุมนุมไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย“
ทว่านั่นคือแนวร่วมนอกสภาผู้แทนราษฎร อยู่ใน
อารมณ์ทะลุองศาเดือด ที่ขึ้นแล้วลงยาก ต้องไปให้สุดซอย ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ยังคงโหมโรงนัดหมายมวลชนแต่ละฝ่าย ลงถนนในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แม้ต่างฝ่าย ต่างเผชิญหน้าในหลายๆ ครั้ง แต่ยังไม่เกิดความรุนแรง แต่เริ่มมี
กลิ่นความรุนแรงบางๆ จางๆ ที่รอวันจุดชนวน ซึ่งคงไม่เป็นผลดีนักในอนาคตที่จะให้ภาพโมเดลความรุนแรงในรูปแบบ “ม็อบชนม็อบ” เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งเวลาเดินหน้าความเข้มข้นของข้อเรียกร้องก็อาจจะต้องมากตามไปด้วย
หากประเมินตามสถานการณ์
“ม็อบเด็ก” ชุมนุมที่ไหน เป็นต้องประจันหน้ากับ
“ม็อบคนแก่” ตามไปนั้นแน่นอน ถ้า “ผู้นำประเทศ” ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โอกาสที่ปะทะเสียเลือดเสียเนื้อมีสูงมาก เพราะอย่าลืมว่าการชุมนุมของทุกฝ่ายมีระบบจัดตั้งกันมาเป็นอย่างดี
ฉะนั้น
ตำราเก่า “ก้นหีบ” ปลุกม็อบชนม็อบอาจจะไม่ได้ผลในครั้งนี้ เพราะเป็น “ม็อบมิติใหม่” แบบที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งยังใช้รูปแบบ “แฟลชม็อบ” ไม่ยืดเยื้อข้ามคืน บางครั้งก็หลอกว่าจะมี “เซอร์ไพร้ส์” แต่แล้วก็ตลบหลังไม่มีเซอร์ไพร้ส์ กลับไปพัก 1 วัน
แม้รัฐบาลจะใช้ทุกองคาพยพลดอุณหภูมิความตึงเครียด แต่ดูเหมือนก็ยังไม่เป็นผล บนเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” รู้อยู่แกใจดีว่าหากปล่อยให้เกิดความวุ่นวายจะซ้ำรอยเหมือนในอดีต จากนี้คงต้องจับตารัฐบาลเร่งถอดชนวนความขัดแย้งให้สำเร็จได้โดยเร็วได้อย่างไร.