ในขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ในใจก็กำลังลุ้นอยู่ว่า “คดีเงินทอนวัด” วันนี้ศาลจะพิจารณาตัดสินจะออกมาในทิศทางไหน พระคุณเจ้าจะพ้นวิบากกรรมหรือไม่ หรือยังต้องเสวยวิบากกรรมต่อ แต่ในใจลึก ๆ ขอภาวนาให้ท่านพ้นวิบากกรรม
คดีนี้ความจริงไม่มีอะไรมาก มันเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบางคน นำเงินสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนาให้พระไปใช้ผิดประเภท และมีการขอคืน สุดท้ายความซวยก็ไปตกอยู่กับพระคุณเจ้า
เรื่องแบบนี้..หากมองการทุจริตในวงการข้าราชการ นักการเมืองมีทั่วไป
สังคมไทยก็แบบนี้..หากเป็นพวกพ้องปากว่าตาขยิบ...แต่ฝ่ายต้องข้าม..ต้องยำให้ตายไปข้าง
คนสื่อแบบพวกผม..มีข้อมูลเชิงลึกว่าชาวบ้านทั่วไป..บางเรื่องนำเสนอไม่ได้ บางเรื่องพูดไปอาจถูกกฎหมายเล่นงานเสียเวลาต้องสู้คดี..เพราะการทุจริตคงไม่มีใครทิ้งหลักฐานเอาไว้
ขนาดมีหลักฐาน..หากผู้นั้นครองอำนาจอยู่กฎหมายก็เอื้อมไม่ถึง เพราะสังคมไทยเป็นสังคมพรรคพวก เป็นสังคมอุปถัมภ์..หลังปี 50 มานี้คำว่า “สองมาตรฐาน” กระหึ่มในสังคมบ้านเรา คดีเงินทอนวัด..เป็นเรื่องของการทำลายล้าง ทางการเมือง เป็นเรื่องการทำลายล้างอำนาจทางคณะสงฆ์..บางเรื่องคนใหญ่ในรัฐบาล “อาจไม่รู้ด้วยซ้ำ”
แต่..อันนี้คือตราบาปของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คดีนี้ผมมีข้อมูล..พอเชื่อถือได้ว่า กระบวนการยุติธรรมมันผิดเพี้ยน มันแปลกมาตั้งแต่ต้น
แต่ในความโชคร้าย..มีความโชคดี ศาลยุติธรรมท่านเห็นความแปลกประหลาด คดีนี้จะซ้ำรอย เหมือนอดีตพระพิมลธรรมหรือไม่..ชาวพุทธหลายท่าน รอลุ้นเหมือนที่ผมลุ้น
และหากท่านพ้นวิบากกรรม..คำถามต่อคือ ผ้าเหลือง จะกลับมาคลุมกายได้เหมือนเดิมหรือไม่..
คงมีอีกหลายยก..ทั้งการลับมาครองผ้าเหลือง ตำแหน่งทางปกครอง และสมณศักดิ์ คิดแล้ว..ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา...เว้น..ผู้มีอำนาจต้องการ “ล้างบาป” ที่ตนเองก่อเอาไว้
.................................
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com.