เมื่อวันที่ 29 ก.ย. สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง บททดสอบ ฝีมือรัฐบาล รับมือภัยน้ำท่วม กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น 1,002 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25-28 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.4 ความปลื้มปีติ ต่อโรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม รองลงมาคือร้อยละ 87.3 ความพึงพอใจอื่นๆ ต่อหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิ องค์กรต่างๆ ช่วยเหลือ เช่น อาหาร น้ำ ยารักษาโรค การอพยพ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.7 ความพึงพอใจอื่นๆ บุคคล / ภาคประชาสังคม จิตอาสา ร่วมบริจาคทั้งกำลังเงินและสิ่งของ ที่น่าสนใจ คือ ความพึงพอใจต่อการทำงานของภาคประชาสังคมรับมือภัยน้ำท่วมในด้านต่าง ๆ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.3 มูลนิธิองค์กรทำดี รองลงมาคือร้อยละ 80.4 อาสาสมัครมูลนิธิหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.9 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.8 มูลนิธิต่างๆ เช่น สภากาชาดไทย มูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.4 อื่นๆ ภาคประชาสังคม บุคคล จิตอาสา

ที่น่าพิจารณาคือ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการ กระทรวงต่าง ๆ พบว่า มากที่สุดหรือร้อยละ 71.5 พอใจทหาร รองลงมาคือร้อยละ 67.5 พอใจตำรวจ ร้อยละ 66.2 พอใจระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร้อยละ 60.3 พอใจกรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และร้อยละ 59.3 พอใจอื่นๆ กระทรวงต่างๆ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

จากรายงานผลสำรวจของ ซูเปอร์โพล สรุปได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความปลื้มปีติและพึงพอใจในหลายด้านที่มีการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เช่น โรงครัวพระราชทาน ถุงยังชีพพระราชทาน ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม, การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี, การเข้าถึงการช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำ และยารักษาโรค รวมถึงการอพยพ ความพึงพอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ก็สูง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุข้อเสนอแนะในการเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติ ของประเทศสามารถดำเนินการได้ด้วยหลายแนวทางที่มุ่งเน้นทั้งด้านการจัดการและการสื่อสาร ต่อไปนี้คือรายละเอียดของแต่ละแนวทาง

การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ

  • พัฒนาและปรับปรุงแผนการจัดการภัยพิบัติ ทบทวนและอัปเดตแผนป้องกันและการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ๆ
  • การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความสามารถในการจัดการภัยพิบัติและการช่วยเหลือที่มีประสิทธิผล
  • การจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการสำรองอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถจัดส่งไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

การสื่อสารและการให้ข้อมูลที่ชัดเจน

  • การประชาสัมพันธ์แผนการรับมือภัยพิบัติ ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับแผนการรับมือภัยพิบัติกับประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม
  • การสื่อสารในระหว่างเกิดภัยพิบัติ มีการอัปเดตสถานการณ์และการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ใช้ช่องทางสื่อสารหลากหลายและชัดเจน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์

การมีส่วนร่วมของชุมชน

  • การสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อการรับมือภัยพิบัติ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการรับมือและการฝึกซ้อม เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองและชุมชน
  • การจัดตั้งทีมอาสาสมัคร สนับสนุนการจัดตั้งทีมอาสาสมัครภายในชุมชนเพื่อทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมในการรับมือกับภัยพิบัติ

การวางแผนและการใช้เทคโนโลยี

  • การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและการเตือนภัย การใช้ระบบ GIS และดาวเทียมเพื่อการตรวจสอบสภาพอากาศและการเตือนภัยล่วงหน้า
  • การใช้โดรนและเทคโนโลยีอื่นๆ ใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่เสี่ยงและการประเมินความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศได้