เมื่อวันที่ 27 ก.ย. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ก.ย. 67 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ดำเนินงานครบรอบ 18 ปี ซึ่งนับแต่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 49 ถึงปัจจุบัน ทสภ. ถือเป็นอีกหนึ่งท่าอากาศยานแห่งความภูมิใจของคนไทยทำหน้าที่ให้การต้อนรับ และให้บริการผู้โดยสารจากทั่วโลกแล้วกว่า 815 ล้านคน รองรับเที่ยวบินรวมกว่า 5 ล้านเที่ยวบิน และปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศรวมกว่า 22 ล้านตัน เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อว่า แม้ในช่วงเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทสภ. ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับท่าอากาศยาน และอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก แต่มาตรการจากรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวทันทีและต่อเนื่องภายหลังการแพร่ระบาดใหญ่สิ้นสุดลง ได้ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ ทสภ. เช่นกัน โดยผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 67 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66-ส.ค. 67 (รวม 11 เดือน) ทสภ. มีสายการบินประจำให้บริการ 128 สายการบิน มีเที่ยวบินที่ทำการบินขึ้น-ลงรวม 318,000 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 66 มีผู้โดยสารใช้บริการรวม 44.73 ล้านคน เพิ่มขึ้น 33.66% และมีปริมาณการขนส่งสินค้ารวม 1.23 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 18% และตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 66 ทสภ. ได้เปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) มีผู้โดยสารใช้บริการรวม 1.06 ล้านคน มีเที่ยวบินให้บริการ 31,400 เที่ยวบิน ปัจจุบันมีสายการบินไปใช้บริการที่อาคาร SAT-1 แล้ว 28 สายการบิน อาทิ สายการบินไทย สายการบินแอร์แคนาดา สายการบินกาตาร์แอร์เวย์ส สายการบินเวียตเจ็ทแอร์ 

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ทสภ. ยังคงให้ความสำคัญกับการเติมเต็มศักยภาพอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะประกอบด้วยโครงการลงทุนด้านโครงสร้างขนาดใหญ่ตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยาน หรือ Master Plan ตลอดจนการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในท่าอากาศยาน สำหรับงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่นั้น ในเดือน พ.ย. 67 ทสภ. กำหนดเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินของ ทสภ. จากปัจจุบัน 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ให้เป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง โดยในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา ทสภ. ได้ดำเนินการทดลองปฏิบัติการทางวิ่งเส้นที่ 3 ในภาพรวมประสบความสำเร็จและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

นอกจากนี้ ทสภ. อยู่ระหว่างเตรียมโครงการเพื่อขยายศักยภาพของอาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal) ได้แก่ การก่อสร้างอาคารส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 15 ล้านคนต่อปี ด้วยการเพิ่มพื้นที่ประมาณ 80,000 ตารางเมตร โดยความคืบหน้าล่าสุด ได้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วอยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมนำเสนอคณะกรรมการ ทอท. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตามในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ. ได้นำเทคโนโลยีช่วยลดระยะเวลาในด้านการบริการเพื่อแก้ปัญหาความหนาแน่นของผู้โดยสาร อาทิ ระบบ Automated Border Control (เครื่อง ABC) ซึ่งเป็นเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ สามารถอ่าน E-Passport ได้มากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ระบบ Biometric โดย ทสภ. อยู่ระหว่างการทดสอบระบบร่วมกับสายการบิน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีระบบการจดจำใบหน้า (Face Recognition) เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเดือน พ.ย.นี้ 

ในส่วนของระบบเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) และระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) ปัจจุบันสายการบินและผู้โดยสารเริ่มมีความคุ้นเคยและใช้บริการระบบด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลา ไม่ต้องรอต่อคิวเช็กอินบัตรโดยสารและโหลดกระเป๋าสัมภาระเหมือนที่ผ่านมา ทางด้านการบริหารจัดการท่าอากาศยาน ทสภ. ได้มีการนำระบบ A-CDM (Airport Collaborative Decision Making) มาใช้เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการการจราจรทางอากาศ สายการบิน และผู้ประกอบการภาคพื้น ให้สามารถนำข้อมูลไปบริหารจัดการสถานะ และเวลาในแต่ละเที่ยวบินให้เป็นไปอย่างแม่นยำ ตรงเวลา เชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ ลดความล่าช้าของเที่ยวบิน ทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ในส่วนของการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทสภ. ได้ร่วมกับ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทยจำกัด และกรมศุลกากร เปิดตัว ‘ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า’ หรือ ‘Multimodal Transportation Center’ เพื่อเป็นศูนย์บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนครบวงจรรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ทั้ง ทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ พร้อมดำเนินพิธีการศุลกากรได้เบ็ดเสร็จในที่เดียว สามารถรองรับปริมาณการขนส่งได้กว่า 50,000 ตันต่อปี

นายกิตติพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปีของการดำเนินงาน ทสภ. ไม่เคยหยุดการพัฒนา มุ่งสู่การเป็น 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอยู่เคียงข้างสังคมไทย ก้าวสู่ปีที่ 19 ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับศักยภาพ ผลักดันอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยวของประเทศ ให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสากล เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยในการต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ.