กลายเป็นเทปที่หลายคนสนใจหนักมากหลังอดีตนักแสดงหนุ่ม บอล-วิทวัส สิงห์ลำพอง  ได้ควงภรรยา แนนนี่ อรรณิกา มาเปิดเผยเส้นทางความรักกว่า 12 ปี พร้อมเล่าเรื่องราวปัญหาโควิด-19 ที่ทำให้เขามีแพลนจะย้ายครอบครัวไปต่างประเทศในรายการคุยแซ่บSHOW แบบจัดเต็ม

บอล เผยว่า “เรื่องโควิด โอย…มัน 2 ปี นะครับ คือเราก็มีงานแหละ แต่ว่ามันถ่ายแล้วไม่จบสักที คือตอนนี้ก็มีละครอยู่ 2 เรื่องที่เหลือแค่คิวเดียวที่มันยังปิดกล้องไม่ได้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเพิ่งฟิตติ้ง ยังเปิดกล้องไม่ได้ เงินที่ใช้ก็เอาเงินที่สะสมไว้ ต้องเอามาใช้จ่ายทุกเดือนแต่ว่า แนนนี่เขาโชคดี ที่เขามีร้านน้ำ ยังเปิดขายอยู่ที่โรงพยาบาล ก็เลยยังพอมีรายได้เข้ามาอยู่บ้าง จริงๆ ร้านก็ไม่ได้เล็กนะ รายได้ก็โอเคอยู่ แต่ในช่วงโควิดเขาไม่ได้เปิดให้เข้าไปนั่งทานปกติ คือต้องซื้อแล้วเวียนออกไป แต่มันก็ยังพอมีรายได้อยู่ แต่ละเดือนหลักๆเลยคือเรื่องบ้าน เพราะบ้านยังผ่อนอยู่เดือนละ 30,000 กว่าบาท และก็มีค่าน้ำ ค่าไฟเดือนหนึ่งประมาณ 3-4 พันบาท ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องครอบครัว กับลูกเรื่องค่ากิน ค่าอยู่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติค่ายใช้จ่ายเดือนหนึ่งจะมากกว่านี้ 5-6 หมื่น แต่พออยู่บ้านเราไม่ค่อยได้ใช้เงินเยอะ ไม่ได้สั่งของเข้าบ้าน ส่วนใหญ่จะซื้อของเข้ามาแล้วทำกินเอง 7-8 หมื่น ส่วนค่าเทอมลูกแม้จะเรียนออนไลน์แต่ก็ยังต้องจ่ายอยู่เท่าเดิม”

“เรื่องขายของสะสมของผม จริงๆ เราก็ยังพอมีเงินเก็บ แต่เราต้องการสภาพคล่อง คือเราต้องการมีเงินเผื่อว่าเราจะมีแอคซิเดน (accidental) อย่างเช่นวันดีคืนดีเราเกิดป่วยขึ้นมา เราต้องการเงินสดเผื่อเอาไว้ เราก็เลยเอารถไปรีไฟแนนซ์ไว้ก่อน คือรถเราไม่ได้ผ่อนแล้ว เรื่องย้ายครอบครัวไปต่างประเทศ จริงๆ เป็นแพลนที่คิดไว้นานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ผมคิดจะพาลูกไปเรียนที่เยอรมัน แนนนี่ เป็นลูกครึ่งเยอรมัน ไม่ได้มีบ้านอยู่ที่โน่น คือถ้าไปเราก็ต้องไปเริ่มใหม่ แต่ด้วยความที่เรามี 2 สัญชาติ คือเรากลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วถ้าลูกไปอยู่ที่โน่น ลูกเรียนฟรี มันเป็นสวัสดิการของรัฐ”

บอล เล่าต่อว่า “ถ้าไปโน่น ไปแรกๆ เราก็คงต้องเลี้ยงลูกไปก่อน แล้วหลักๆ ภรรยาก็ไปทำงาน เพราะเราไปที่โน่นเราต้องขอวีซ่า แต่ว่าลูกได้สัญชาติตามแม่ ถ้าไปแล้วผมได้ทำงานอะไรผมทำหมด คืองานอะไรก็ตามที่ทำแล้วเรามีชีวิตรอด เป็นอาชีพสุจริต ผมทำหมด ขอแค่อนาคตของลูกเมียเจริญเติบโต แต่ถ้าไปผมต้องทิ้งวงการบันเทิง เสียดายนะ แต่เราก็ต้องเอาชีวิตเราให้รอด เพราะอยู่ที่นี่มันไม่มีงาน เราทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องเลือกที่จะไปหาอะไรเพื่อให้เรามีชีวิตรอดต่อไป เพียงแต่ว่าตอนนี้เรามีผลิตภัณฑ์ของคุณแนนนี่ที่มันยังพอไปได้ และมันก็น่าจะเติบโตประมาณหนึ่ง”

“เรื่องความรักเจอกับภรรยาครั้งแรกต้องบอกว่าเจอกันที่เครื่องบิน จริงๆ ผมเห็นเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่ตอนแรกคือผมรู้ตัวว่าผมต้องไปทำงานที่อเมริกากับพี่ติ๊ก ชิโร่ แต่ผมเห็นเขาเดินผ่าน แล้วเราก็มองว่าฝรั่งคนนี้สวย ซึ่งตอนนั้นผมยังโสดอยู่ ผมเห็นเขาเดินไปคุยกับพี่ติ๊ก ก็คิดว่าเขาคงมาส่งพี่ติ๊ก พอผมขึ้นเครื่องบินลงนั่งปุ๊บ เขาลงมานั่งข้างๆ เรา บนเครื่องบิน เขาก็เอาผ้าห่มคลุมแล้วหลับเลยตลอดทาง 13 ชั่วโมงในการเดินทาง ตอนเครื่องกำลังจะลง มันต้องมีกรอกข้อมูล ซึ่งเขาก็ทำสีหน้าเลิ่กลั่ก ว่าจะกรอกอย่างไร สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถาม พี่คะไอ้ใบนี้มันต้องกรอกอย่างไร ผมก็มองเขากลับไป ว่าพูดไทยได้ด้วยหรือ คือผมเข้าใจว่าเขาเป็นฝรั่งมาโดยตลอด สนใจเขาตอนคือทริปนั้นเป็นทริปคนสูงอายุหน่อย เป็นพี่ติ๊ก ทีมงาน และรุ่นเด็กไปเลยก็คือลูกพี่ติ๊ก ก็จะมีวัยเดียวกันคือเรากับภรรยา ซึ่งตอนนั้นเขาก็พาเราไปเที่ยว ไปหลายเมือง ไปเวกัส ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ยูนิเวอร์แซล ก็เลยมีโอกาสสนิทกัน พอได้คุยกันปั๊บ ปรากฏว่าได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย จริงๆ แล้วต้องขอบคุณคุณยายและน้าอ้อมากๆ ที่เขาค่อนข้างจะโอเพ่นกับเรา เขาเป็นคนเปิดโอกาสให้เราได้มีโอกาสไปมาหาสู่แนนนี่บ่อยๆ บางครั้ง คุณยายทำอาหารแกก็จะโทรฯเรียกเรามากินที่บ้าน เราก็จะมีโอกาสเจอแนนนี่ที่บ้าน ถามว่านานไหมกว่าจะเป็นแฟนก็ 2-3 เดือน แต่กว่าที่ผมจะมาขอเขาเป็นแฟนก็ประมาณ 5-6 เดือน”

ด้าน แนนนี่ เผยว่า “ถามว่าอยากไปทำงานอะไร คือหนูอยากไปทำธุรกิจมากกว่า จริงๆ เรามีความรู้ของเมืองไทย เราไปเปิดร้านนวดก็ได้ ไปเปิดร้านอาหารก็ได้ เพราะว่าที่โน่นเขาชอบของไทย เรื่องนี้เราก็มีคุยกับลูกไว้บ้างแล้ว ว่าถ้าไปโน่นหนูจะโอเคไหม ต้องไปเรียนที่โน่นนะ ด้วยความที่โรงเรียนหยุดไปนาน ก็เหมือนเขาลืม ขนาดอ่านหนังสืออ่านอย่างไรก็ลืมแล้ว ชื่อเพื่อนก็ลืมแล้ว เรื่องเจอกับบอล คือก่อนหน้าหนูเคยเห็นเขาผ่านทางทีวี หนูรู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วก็เห็นว่าเขามองเราอยู่ ก็คิดว่าเขาเป็นโรคจิตหรือเปล่ามองอยู่นั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจ จนขึ้นเครื่องปรากฏว่าได้นั่งติดกัน ก็ตกใจ คือเราคุยกับเขาเพราะต้องการความช่วยเหลือ ก็คิดว่ากรอกเสร็จก็จบแค่นั้น บังเอิญไม่จบ เพราะเราไปทริปเดียวกัน เพราะหนูเป็นหลานของภรรยาของน้าติ๊ก ชิโร่”

“ถามว่าไปรักเขาตอนไหน จริงๆ เจ้าชู้ทั้งคู่ แต่คนนี้เขาหยอดเยอะ เขาตึ๊อหนักแล้วหนูก็เลยแพ้ลูกตื๊อเขา แล้วที่บ้านเชียร์เขาก็เลยได้ภาษีดีกว่า บอล วิทวัส :  คือผมอาศัยวิธีเข้าทางผู้ใหญ่ คือทางพี่อ้อ และทางคุณยายทวด คือผมได้รู้จักกับน้าอ้อตอนไปทริปอเมริกา ก็เลยสนิทกัน เขาก็เลยเป็นแม่สื่อ เราก็ใช้วิธีเวลาเราไปทำงานที่ไหน เราก็จะซื้อของมาฝากน้าอ้อบ้าง มีโทรฯถามว่าตอนนี้ผมอยู่ที่นี่นะอยากได้อะไรไหม ส่วนคุณยายเราก็ใช้วิธีเดียวกัน คือซื้อของที่แกชอบไปฝาก”